คาดว่าการเติบโตของบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุด 5 แห่ง (Big 5) ได้แก่ Alphabet, Amazon, Apple, Meta และ Microsoft จะชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 3 แต่สถานการณ์ข้างต้นจะส่งผลกระทบต่อคริปโตเคอเรนซีอย่างไร
จากการที่ราคาหุ้นเทคโนโลยีและมูลค่าสินทรัพย์คริปโตแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์เชิงราคาที่เห็นได้ชัด ข่าวแง่ลบใด ๆ ก็ตามสำหรับบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ย่อมส่งผลเสียต่อคริปโตเคอเรนซีได้
ความสัมพันธ์ระหว่างราคาของสินทรัพย์ในตลาดแบบดั้งเดิมและตลาดคริปโต
จากการเปรียบเทียบแบบควบคู่กันดังปรากฎในโพสต์เมื่อต้นเดือนนี้บน Twitter ผู้ใช้งานคริปโตรายหนึ่งเสนอความเห็นว่าตลาดแบบดั้งเดิมและตลาดคริปโตมีความเชื่อมโยงกันมากขึ้นอย่างไรบ้าง กล่าวคือ นับตั้งแต่ต้นปี 2021 ตลาดดั้งเดิมและตลาดคริปโตได้อยู่ในอัตราการเติบโตแนวระนาบและเส้นการเติบโตพุ่งทะยานขึ้นในลักษณะเดียวกัน
ประเด็นข้างต้นทําให้ผู้ใช้งานรายนั้น ซึ่งใช้นามแฝงว่า “จัมโบ้” บน Twitter กล่าวสรุปว่า Wall Street “ถือว่า Bitcoin และคริปโตเคอเรนซีโดยรวมเป็นเพียงส่วนขยายของภาคเทคโนโลยี”
ไม่ว่านักลงทุนรายย่อยจะได้ข้อสรุปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ ความสัมพันธ์ในลักษณะนี้หมายความว่าความสําเร็จหรือความล้มเหลวของบริษัทเทคโนโลยียังคงเป็นที่สนใจของนักลงทุนในภาคคริปโต
บริษัทเทคโนโลยี “Big 5” จะอัปเดตนักลงทุนในสัปดาห์นี้ โดย Alphabet และ Microsoft จะเป็นรายแรกที่ประกาศตัวเลขผลประกอบการของ Q3 ของพวกเขาเมื่อปิดตลาดในวันอังคาร จากนั้น Meta จะประกาศตัวเลขเมื่อปิดตลาดในวันพุธ และ Apple และ Amazon จะสรุปรวบยอดตัวเลขเมื่อปิดตลาดในวันพฤหัสบดี
คริปโตจะ Snap ด้วย Snap หรือไม่
เมื่อวันศุกร์สัปดาห์ที่แล้ว Snap (บริษัทแม่ของ Snapchat) ประกาศผลประกอบการซึ่งแย่กว่าที่คาดไว้ โดยมีรายได้เพิ่มขึ้นเพียง 6% เป็น 1.13 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ขาดทุนสุทธิเพิ่มขึ้น 400% จาก 72 ล้านดอลลาร์สหรัฐเป็น 360 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตัวเลขดังกล่าวทําให้ราคาหุ้นของบริษัทร่วงลง 20% ในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากการประกาศผลประกบอการ
หากความหายนะของ Snap เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกในภาคเทคโนโลยี ผลลัพธ์อาจเป็นหายนะทั้งสำหรับบริษัทเทคโนโลยีและคริปโต อย่างไรก็ตาม มีเหตุผลที่เชื่อได้ว่าปัญหาของ Snap นั้นเป็นปัญหาเฉพาะบริษัทเอง และจะไม่ส่งผลกับภาคเทคโนโลยีในวงกว้าง
เมื่อเร็ว ๆ นี้ Snap ได้ปรับโครงสร้างองค์กรโดยเลิกจ้างพนักงาน 6,500 คนด้วยค่าใช้จ่าย 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ค่าใช้จ่ายเพียงครั้งเดียวนี้มีน้ําหนักอย่างมากต่อ บริษัท ที่แนะนําว่าผลลัพธ์ของพวกเขาอาจผิดปกติมากกว่าบรรทัดฐาน รายได้ของ บริษัท ยังเน้นการโฆษณาอย่างหนักซึ่งไม่เป็นความจริงสําหรับเพื่อนร่วมงานที่ใหญ่กว่าทั้งหมด
คาดการณ์ว่าบริษัทเทคโนโลยีเติบโตช้าลง
ภาคเทคโนโลยีและวงการคริปโตเคอเรนซีมีความเชื่อมโยงกันมากขึ้นตั้งแต่ปี 2021 แต่ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากสภาพเศรษฐกิจที่กว้างขึ้น ความปั่นป่วนล่าสุดในเศรษฐกิจของรัฐชาติทั่วโลกแสดงให้เห็นว่ามีตลาดเพียงไม่กี่แห่งที่รอดพ้นจากปัญหาเศรษฐกิจทั่วโลก
ตามรายงานของ Financial Times เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา คาดว่าการเติบโตของบริษัทเทคโนโลยีห้าอันดับแรกจะชะลอตัวลงเหลือประมาณ 10% ในไตรมาสนี้ลดลงจาก 29% ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว
หากบริษัทเหล่านี้ประกาศผลประกอบการที่สอดคล้องกับการคาดการณ์ข้างต้น ผลกระทบต่อตลาดอาจไม่มากนัก หากผลลัพธ์แตกต่างอย่างมากจากการคาดการณ์ ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเด่นชัด
กลยุทธ์เมตาเวิร์สของ Meta ไม่สัมฤทธิ์ผล
จากบรรดาบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ทั้งห้าแห่ง Meta อาจเป็นหนึ่งในบริษัทที่นักลงทุนอาจกังวลมากที่สุด นับตั้งแต่การรีแบรนด์จาก Facebook บริษัทได้ลงทุนอย่างมากในเทคโนโลยี metaverse และ Web3 ในขณะเดียวกันธุรกิจหลักของบริษัทได้รับตกอยู่แรงกดดันมากขึ้น
เช่นเดียวกับ Snap Meta พึ่งพารายได้จากการโฆษณาเป็นอย่างมาก และงบประมาณการโฆษณามักจะสิ่งแรกที่บริษัทต่าง ๆ จะตัดงบประมาณ ซึ่งอาจทําสถานการณ์ทางการเงินของ Meta ทรุดลงเช่นกัน การเปลี่ยนแปลงข้อกําหนดของ Apple ยังทําให้การกําหนดเป้าหมายกลุ่มโฆษณายากขมากขึ้น
Meta คาดว่าจะประกาศว่ารายได้ของตนลดลง 5% ในไตรมาสที่ 3 หลังจากลดลง 1% ในไตรมาสก่อนหน้า
ตอนนี้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่อย่างน้อยหนึ่งรายกําลังเรียกร้องให้ Meta เปลี่ยนกลยุทธ์โดยลดการใช้จ่าย Metaverse และลดจำนวนพนักงานขนานใหญ่
มีการส่งเสริมให้ Meta ประหยัดงบประมาณ
ในจดหมายเปิดผนึกถึง Meta ทาง Brad Gerstner ผู้เป็นประธานและซีอีโอของ Altimeter Capital เรียกร้องให้บริษัท Meta ลดรายจ่ายด้านพนักงานลง 20%
Gerstner ยังเรียกร้องให้ Mark Zuckerberg มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) มากกว่า metaverse และลดค่าใช้จ่ายสำหรับเมตาเวิร์สลง
จากข้อมูลของ Gerstner ขณะนี้ Meta ต้องจำกัดงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับ metaverse ไว้ที่ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี การทำเช่นนี้แสดงความไม่ลงรอยกันระหว่างของนักลงทุนแบบดั้งเดิม ทั้งนี้ Gerstner กล่าวว่า “Meta จําเป็นต้องได้รับอำนาจในวงการเทคของตนกลับคืนมา” และอยากให้ Meta “พร้อมและจดจ่อมากกว่านี้” Gerstner กล่าวต่อไปว่า “ผู้คนสับสนกับความหมายของ metaverse ด้วยซ้ำ”
หัวหน้าฝ่ายการลงทุนระบุว่า Metaverse เป็นโครงการระยะยาวที่อาจไม่สร้างรายได้เป็นเวลาอย่างน้อย 10 ปี จากปริมาณการใช้จ่ายรายปีในปัจจุบันที่ 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐหรือมากกว่า ระดับค่าใช้จ่ายเหล่านี้ทําให้นักลงทุนตกใจ
“การลงทุนประมาณเกิน 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในอนาคตที่ไม่มีใครรู้จักครั้งนี้มีขนาดใหญ่มากและน่ากลัว แม้กระทั่งตามมาตรฐานของ Silicon Valley ก็ตาม” Gerstner กล่าว
แม้ว่าความปรารถนาของ Gerstner อาจไม่เป็นจริง แต่ก็มีสัญญาณบางอย่างที่ Meta ตั้งใจจะรัดเข็มขัดงบประมาณทางการเงินมากขึ้น แม้เพียงเล็กน้อย เมื่อเดือนที่แล้ว Mark Zuckerberg ยืนยันว่า Meta จะสิ้นสุดการพัฒนาปี 2023 ในฐานะองค์กรที่ “ค่อนข้างเล็กกว่า” หลังจากการหยุดจ้างงาน
สัมปทานขนาดเล็กเช่นนี้อาจทำให้ Wall Street Shark ทั้งหลายหาหนทางในการได้รับผลตอบแทนแบบเร่งด่วนมากยิ่งขึ้น
ข้อจำกัดความรับผิด
หมายเหตุบรรณาธิการ: เนื้อหาต่อไปนี้ไม่ได้สะท้อนถึงมุมมองหรือความคิเห็นของ BeInCrypto มันจัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้นและไม่ควรถูกตีความว่าเป็นคำแนะนำทางการเงิน กรุณาทำการวิจัยของคุณเองก่อนที่จะทำการตัดสินใจลงทุนใดๆ