จะเกิดอะไรขึ้นถ้าธุรกรรมบล็อกเชนของ Ethereum อาจถูกแช่แข็งหรือย้อนกลับได้ นี่คือคําถามที่นักวิจัยของ Stanford ตั้งขึ้นมา ดังปรากฏในเอกสารล่าสุดเกี่ยวกับธุรกรรมที่ย้อนกลับได้ (Reversible Transaction)
นักวิจัยจาก Stanford ได้แก่ Kaili Wang, Qinchen Wang และ Dan Boneh ได้เสนอมาตรฐานโทเค็น Ethereum ใหม่ที่เรียกว่า ERC-20R และ ERC-721R ซึ่งได้รับการออกแบบมาให้เป็นมาตรฐานโทเค็นการเลือกใช้ต้นแบบที่รองรับการทําธุรกรรมการย้อนกลับเมื่อสถานการณ์และหลักฐานทำหน้าที่รับประกันให้
เอกสารที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 9 กันยายนและมีแจงรายละเอียดเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 24 กันยายนเรียกร้องให้มี ‘ปุ่มย้อนกลับ’ หรือ ‘ปุ่มเลิกทํา’ ในกรณีที่มีการแฮ็กหรือขโมยในบล็อกเชน โดยอ้างถึงการโจมตีแบบฟิชชิ่ง BAYC ทั้งนี้ ล่าสุดการโจมตี Poly Network การการบุกรุก Harmony Bridge และการโจรกรรม Ronin เป็นเหตุผลว่าทําไมจึงจําเป็นต้องมีปุ่มที่สามารถทำให้ย้อนกลับธุรกรรมได้
ปุ่มย้อนกลับของบล็อกเชน
มีข้อโต้แย้งว่าธุรกรรมที่ย้อนกลับได้ถือว่าไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของบล็อกเชน แต่มาตรฐานที่เสนอมานั้นไม่ได้มีไว้เพื่อแทนที่โทเค็น ERC-20 หรือทําให้ธุรกรรม Ethereum สามารถย้อนกลับได้ Wang กล่าว โดยมาตรฐานขุดใหม่จะ “เพียงแค่อนุญาตให้มีหน้าต่างหลังการทําธุรกรรมในเวลาอันสั้นในกรณีที่เกิดการโจรกรรม โดยอาจจะมีการปะทะและเรียกคืนเหรียญที่โดนขโมยไปได้”
โทเค็นแบบย้อนกลับได้อาจถูกสลับสับเปลี่ยน แต่การสลับโทเค็นเป็นโทเค็นที่ไม่สามารถย้อนกลับได้จะถูกสรุปหลังจากมีการปิดกรอบเวลาสําหรับการย้อนกลับธุรกรรมแล้วเท่านั้น
ในเหตุการณ์สมมติในกรณีที่มีคําขอย้อนกลับ เหยื่อของการแฮ็กหรือการโจรกรรมจะขอหยุดสัญญาการกํากับดูแลเกี่ยวกับเงินที่ถูกขโมยไปก่อน องค์ประชุมผู้พิพากษาที่กระจายอํานาจจะลงมติว่าจะให้อายัดทรัพย์สินหรือไม่ หากได้รับการยอมรับการแช่แข็งจะเริ่มขึ้นและต้องส่งหลักฐานให้กับผู้พิพากษาใน ‘การพิจารณาคดี’ เพื่อเริ่มการกลับรายการ (Reversal)
ข้อจำกัดความรับผิด
หมายเหตุบรรณาธิการ: เนื้อหาต่อไปนี้ไม่ได้สะท้อนถึงมุมมองหรือความคิเห็นของ BeInCrypto มันจัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้นและไม่ควรถูกตีความว่าเป็นคำแนะนำทางการเงิน กรุณาทำการวิจัยของคุณเองก่อนที่จะทำการตัดสินใจลงทุนใดๆ
