นักลงทุนเกาหลีถอนเงินออกปีนี้ ธนาคารกลางเกาหลีชี้ผลกระทบต่อโลก

รายงานเสถียรภาพทางการเงินฉบับล่าสุดของธนาคารกลางเกาหลีเผยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมที่สำคัญของนักลงทุนคริปโตเกาหลีใต้ ซึ่งจากการสะสมเชิงรุกเปลี่ยนมาเป็นการทำกำไรอย่างมีกลยุทธ์ ส่งผลให้เกิดคำถามเกี่ยวกับผลกระทบต่อพลวัตของตลาดโลก

กล่าวคือ แม้ว่า Bitcoin จะพุ่งขึ้นเกิน 100,000 USD ในปีนี้ นักลงทุนเกาหลียังคงเลือกขายทำกำไรแทนที่จะเพิ่มการลงทุน

กิจกรรมการซื้อขายขนาดใหญ่ในเกาหลีเริ่มชะลอตัว

เกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีบทบาทโดดเด่นเกินขนาดในตลาดคริปโตระดับโลกมาโดยตลอด แม้จะมีประชากรเพียงส่วนเล็ก ๆ ของโลก แต่คู่เทรด Korean won (KRW) มักติดอันดับหนึ่งในสองสกุลเงินเฟียตที่มียอดซื้อขายสูงที่สุดในระดับโลก โดยมักจะเทียบเคียง หรือบางครั้งก็สูงกว่า U.S. USD ในช่วงที่ตลาดคึกคัก

แต่ รายงานของธนาคารกลางเกาหลี บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมนักลงทุนที่สังเกตได้ชัดเจน แม้ว่าอัตราหมุนเวียนของคริปโตในเกาหลีจะยังคงสูงถึง 156.8% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่อยู่ที่ 111.6% อย่างมีนัยสำคัญ แต่ลักษณะของกิจกรรมดังกล่าวได้เปลี่ยนไป โดยปัจจุบันนักลงทุนรายย่อยเกาหลีต่างมุ่งเน้นทำกำไรระหว่างตลาดกระทิงปี 2025 แทนที่จะไล่ตามราคาขาขึ้นเหมือนในอดีต

ธนาคารกลางเกาหลีระบุว่า ตลาดคริปโตภายในประเทศมีอัตราหมุนเวียนสูง เนื่องจากผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนรายย่อยที่มักจะทำกำไรด้วยการซื้อขายระยะสั้น

ความเสี่ยงจากการกระจุกตัวและข้อกังวลโครงสร้างตลาด

รายงานดังกล่าวได้เน้นให้เห็นความเข้มข้นในการถือครองของตลาดมากยิ่งขึ้น โดยพบว่า 10% แรกของนักลงทุนเป็นผู้รับผิดชอบกิจกรรมการซื้อขายถึง 91.2% ของปริมาณทั้งหมด ระหว่างปี 2024 ถึงมิถุนายน 2025 ตามข้อมูลจาก Financial Supervisory Service ซึ่งความเข้มข้นนี้สร้างความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการควบคุมราคาจากนักลงทุนกลุ่มเล็กๆ

สิ่งแวดล้อมด้านกฎระเบียบที่เป็นเอกลักษณ์ของเกาหลีใต้ซึ่งห้ามบริษัทเข้าร่วมและไม่อนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติซื้อขายในกระดานภายในประเทศ ได้สร้างตลาดที่เกือบทั้งหมดถูกครอบครองโดยนักลงทุนรายย่อย นอกจากนี้ การไม่มี market maker มืออาชีพยังทำให้เกิดข้อจำกัดด้านสภาพคล่องอีกด้วย ซึ่งเห็นได้จาก Tether ที่พุ่งขึ้น 5 เท่า บน Bithumb ในช่วงที่ตลาดชะลอตัวเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

ผลกระทบต่อทั่วโลก

เมื่อเทรดเดอร์เกาหลีเริ่มถอนตัว ตลาดโลกย่อมสังเกตเห็น โดยข้อมูลในอดีตแสดงให้เห็นว่าในช่วงตลาดกระทิงปี 2017 และ 2021 กระดานเกาหลีอย่าง Upbit และ Bithumb มักติดอันดับยอดซื้อขายสูงสุดในโลก ทั้งนี้ ปรากฏการณ์ Kimchi Premium หรือราคาคริปโตในเกาหลีสูงกว่าตลาดต่างประเทศ ถูกใช้เป็นตัวชี้วัดกระแสร้อนแรงของนักลงทุนรายย่อยได้อย่างน่าเชื่อถือ

สำหรับในช่วงนี้ การเปลี่ยนมาทำกำไรอาจมีส่วนให้การปรับตัวขึ้นในรอบปี 2025 เป็นไปอย่างระมัดระวังมากกว่ารอบก่อน เพราะเมื่อนักลงทุนรายย่อยเกาหลีไม่หนุนการไล่ซื้ออย่างเข้มข้นเช่นเคยแล้ว หนังสือคำสั่งซื้อในตลาดโลกลดแรงกดดันขาขึ้นในช่วงสะสมสำคัญอย่างมีนัยสำคัญ

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว รายงานก่อนหน้านี้ของธนาคารกลางเกาหลี (BOK) ได้ให้เหตุผลว่าปรากฏการณ์ชะลอตัวของคริปโตภายในประเทศมีสาเหตุมาจากตลาดหุ้นในประเทศที่กำลังเฟื่องฟู โดยดัชนี KOSPI พุ่งขึ้นมากกว่า 70% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน กลายเป็นดัชนีหลักที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุดของโลก ซึ่งขับเคลื่อนโดยหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI เช่น Samsung Electronics และ SK Hynix

ปริมาณการซื้อขายรายวันบนแพลตฟอร์มคริปโตหลักของเกาหลีร่วงลงมากกว่า 80% เมื่อเทียบกับจุดสูงสุดของปี 2024 ขณะที่นักลงทุนในประเทศต่างหันไปลงทุนในหุ้นและ ETF ที่มีเลเวอเรจในสหรัฐฯ นักวิเคราะห์ AB Kuai Dong สังเกตว่า เหล่านักลงทุนรายย่อยของเกาหลีที่เคยอยู่ในวงการคริปโตหายไปไหน คำตอบคือ หันไปตลาดหุ้นที่อยู่ข้างเคียงกัน

เส้นทางต่างกัน: เกาหลีใต้กับการยอมรับสถาบันระดับโลก

เมื่อเปรียบเทียบกับแนวโน้มของตลาดโลกแล้วจะแตกต่างกันอย่างชัดเจน ขณะที่เกาหลียังคงมีนักลงทุนรายย่อยเป็นหลัก แต่ว่าตลาดโลกกลับเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ความเป็นสถาบันอย่างรวดเร็วหลังจากที่ SEC อนุมัติ ETF Bitcoin สปอตในเดือนมกราคม 2024 ผลิตภัณฑ์ประเภทดังกล่าวดึงดูดเงินไหลเข้าสุทธิมากกว่า 54 พันล้าน USD โดยเฉพาะกองทุน IBIT ของ BlackRock เพียงรายเดียวก็มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารเกิน 50 พันล้าน USD แล้ว

รายงานของ BOK ยอมรับถึงความแตกต่างนี้โดยระบุว่าตลาดคริปโตโลกมีความสัมพันธ์กับหุ้นแบบดั้งเดิมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจมหภาคตึงเครียดหรือมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงิน การมีส่วนร่วมของสถาบัน การที่บริษัทนำคริปโตไว้ในคลัง และการกระจายตัวของ ETF ล้วนส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่าง Bitcoin กับ S&P 500 สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ปี 2020

ในขณะที่ตลาดเกาหลียังคงแยกตัวจากปัจจัยเหล่านี้ กระแสหลักของโลกอย่างเห็นได้ชัด ธนาคารกลางเกาหลีให้เหตุผลว่าเป็นเพราะความเข้มข้นของนักลงทุนรายย่อย สภาพคล่องที่จำกัด และการควบคุมเงินทุนที่จำกัดโอกาสทำอาร์บิทราจ

ก้าวต่อไป: สู่ยุคสถาบันใกล้มาถึง

รายงานยังเสนอว่าลักษณะเฉพาะของตลาดเกาหลีอาจค่อยๆ ลดลงตามการเดินหน้าปฏิรูปกฎระเบียบ โดยรัฐบาลอนุญาตให้องค์กรไม่แสวงหากำไรขายคริปโตได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน และหลังจากนั้นให้มืออาชีพทดลองซื้อขายได้ รวมทั้งกำลังมีการพูดคุยเกี่ยวกับการอนุมัติ ETF Bitcoin สปอตด้วย

BOK คาดการณ์ว่าการเปิดให้สถาบันการเงินและนักลงทุนต่างชาติเข้าร่วมจะช่วยให้กลไกการดูแลตลาดถูกจัดตั้งอย่างเหมาะสมรวมถึงช่วยบรรเทาปัญหาสภาพคล่อง การมีส่วนร่วมของสถาบันมากขึ้นจะทำให้ความผันผวนของปริมาณการซื้อขายลดลงและหมุนเวียนหุ้นลดลงในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางยังเตือนถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เมื่อบริษัทและนักลงทุนต่างชาติที่มีข้อมูลและทุนมากกว่าเข้าสู่ตลาด ราคาคริปโตในประเทศอาจไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์และอุปทานมากขึ้น ซึ่งรายงานเน้นย้ำว่าควรมีการติดตามอย่างใกล้ชิดระหว่างการเปลี่ยนผ่านนี้

สรุปใจความสำคัญ

ขณะนี้ตลาดคริปโตของเกาหลีกำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนจากการซื้ออย่างรุนแรงมาสู่การทำกำไรชี้ให้เห็นว่านักลงทุนมีวุฒิภาวะมากขึ้น แต่ก็ทำให้แหล่งพลังหลักของตลาดโลกหายไปด้วย ดังนั้นเมื่อโครงสร้างสถาบันพัฒนาขึ้นและอุปสรรคด้านกฎระเบียบลดลง บทบาทของเกาหลีในอิทธิพลตลาดคริปโตโลกอาจเปลี่ยนจากปริมาณรายย่อยดิบไปสู่กระแสเงินทุนที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น

แต่ในตอนนี้ ยุคที่นักเทรดรายย่อยเกาหลีเป็นผู้ผลักดันการฟื้นตัวของตลาดโลกแต่เพียงลำพังนั้นดูเหมือนจะจางหายไปแล้ว ซึ่งการเปลี่ยนผ่านนี้อาจเปลี่ยนรูปแบบความเชื่อมั่นตลาดในรอบต่อๆ ไป