ด้วยความสามารถในการทำงานที่ไหนก็ได้ ซึ่งทำให้เราสามารถเดินทางไปยังสถานที่ที่สวยงามเพื่อทำงานได้ นี่จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เหตุใดไลฟ์สไตล์แบบ “Digital Nomads” จึงได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน เทคโนโลยีได้เปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานและการสื่อสารของเราไปอย่างสิ้นเชิง และ Web3 ก็นำเราก้าวขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการทำให้การกระจายอำนาจกลายเป็นมาตรฐานการทำงานแบบใหม่ ซึ่งจะนำพาทุกคนเข้าสู่โลกที่พวกเขาจะไม่ต้องถูกผูกติดอยู่กับโต๊ะทำงานของตนเองอีกต่อไป สถานที่ทำงานของคุณอาจจะเป็นที่ใดก็ได้ ตั้งแต่ บังกะโลริมชายหาดพร้อมอากาศเย็นสบายในประเทศไทย ไปจนถึง ร้านกาแฟที่มีคนพลุกพล่านในเมืองบาร์เซโลนา
ในบทความนี้ เราจะมาอธิบายถึงรายละเอียดที่สำคัญ รวมถึงเคล็ดลับต่างๆ ในการวางแผนการใช้ชีวิตในสไตล์ “Digital Nomads” ตั้งแต่เรื่องวีซ่า การดูแลรักษาสุขภาพ ไปจนถึง การเปลี่ยนกรอบทางความคิดของคุณ
Digital Nomads คืออะไร?
ถึงแม้ว่าเทรนด์ Digital Nomads นั้นจะเริ่มพบเห็นได้มากยิ่งขึ้นในยุคปัจจุบัน แต่อันที่จริงแล้ว แนวคิดนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่ ในปี 2017 หนังสือระดับ Best Seller ของ นักเขียน Tim Ferris ที่มีชื่อว่า “Four-Hour Week” ได้เผยแพร่ความเป็นไปได้ที่ว่าผู้คนจะสามารถเดินทางไปพร้อมๆ กับการทำงานได้ และเราไม่จำเป็นที่จะต้องยึดติดกับช่วงเวลาการทำงาน 09.00-17.00 น. แบบดั้งเดิมอีกต่อไป
“โลกใบนี้ใหญ่เกินกว่าที่เราจะใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่แต่ในห้องเล็กๆ”
Time Ferris: Four Hour Week
โดยหลักการแล้ว Digital Nomad ก็คือ ลักษณะหรือไลฟ์สไตล์ของบุคคลที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อทำงานจากระยะไกล ทำให้พวกเขาสามารถเดินทางไปที่ไหนก็ได้ และสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ในโลกนี้อย่างอิสระ
หลุดพ้นจากการทำงานในห้องเล็กๆ
การใช้ชีวิตแบบ Digital Nomad จะช่วยให้คุณสามารถทำงานได้จากทุกสถานที่ในโลก ได้ออกไปพบปะกับผู้คนที่มีความสนใจเหมือนคุณ ได้ออกเดินทางไปยังประเทศใหม่ๆ ได้มากเท่าที่คุณต้องการ ช่วยให้คุณปรับสมดุลระหว่างการใช้ชีวิตและการทำงานได้ และข้อดีอื่นๆ อีกมากมาย สิ่งที่คุณต้องการก็มีเพียง สัญญาณอินเตอร์เน็ตที่สเถียรและเชื่อถือได้ แล็ปท็อปซักเครื่อง และหนังสือเดินทางที่ยังไม่หมดอายุซักเล่ม
แนวทางการทำงานสไตล์ Digital Nomad นั้นจะแบ่งออกเป็น 3 ตัวเลือกหลักๆ แต่ก่อนที่คุณจะยื่นใบลาออกเพื่อไปจองเที่ยวบิน โปรดจำไว้เสมอว่า การเดินทางในครั้งนี้จำเป็นจะต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ มีการเตรียมตัวเป็นอย่างดี และพร้อมที่จะรับความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ที่จะก้าวเข้ามา
ผู้ประกอบการ
หากคุณมีจิตวิญญาณของการเป็นผู้ประกอบการ การเริ่มต้นในการทำธุรกิจออนไลน์อาจจะเป็นหนทางหนึ่งสู่การทำงานในแบบ Digital Nomad ได้ การเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship) — หรือการเป็นผู้ประกอบการคนเดียว (Solopreneurship) สำหรับโปรเจกต์หรือธุรกิจที่คุณทำเพียงคนเดียว — จะช่วยให้คุณมีความยืดหยุ่นในการทำงาน และควบคุมทิศทางของธุรกิจของคุณได้
การทำงานในระยะไกล
ในปัจจุบัน หลายองค์กรได้มีการอนุญาตให้พนักงานสามารถทำงานจากระยะไกลได้ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม Web3 ด้วยการปฏิบัติตามหลักแนวคิดเรื่องการกระจายอำนาจ บริษัทหรือโปรเจกต์คริปโต/บล็อกเชนส่วนใหญ่จะอนุญาตให้พนักงานสามารถมีส่วนร่วมกับเป้าหมายขององค์กรได้ในขณะที่ทำงานจากที่ใดก็ได้
หากคุณมีงานอยู่แล้ว ลองสำควรความเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนบทบาทการทำงานของคุณเป็นการทำงานแบบระยะไกลดูสิ หรือหากคุณกำลังมองหางานระยะไกลและมีความสนใจในอุตสาหกรรม Web3 ลองเข้ามาดูลิสต์รายชื่อของงานระยะไกลต่างๆ ได้ที่ Jobs Board ของ BeInCrypto ได้เลย
ฟรีแลนซ์
งานฟรีแลนซ์ถือเป็นตัวเลือกที่ยืดหยุ่นสำหรับผู้ที่มีทักษะต่างๆ เช่น การเขียน การออกแบบ การเขียนโปรแกรม หรือ การตลาด ฯลฯ แพลตฟอร์มอย่าง Upwork, Freelancer และ Fiverr จะช่วยเชื่อมต่อเหล่าฟรีแลนซ์เข้ากับลูกค้าที่ต้องการบริการของพวกเขา งานฟรีแลนซ์ให้ความเป็นอิสระและความยืดหยุ่นเป็นอย่างมาก ช่วยให้คุณสามารถเลือกโปรเจกต์ ลูกค้า และเวลาทำงานของคุณเองได้
ค้นหางานในฝันของคุณ 🚀
เสริมสร้างเส้นทางอาชีพของคุณ 🤩
ลักษณะของ Digital Nomads: คนทำงานแบบทั่วไป vs. คนทำงานแบบ Remote Working
ลักษณะโดยทั่วไปของเหล่า Digital Nomad ที่ปรากฏให้เห็นตาม YouTube หรือ Instagram มักจะเป็น นักเดินทางรุ่นเยาว์ที่ทำงานด้วยแล็ปท็อปอยู่บนชายหาดที่สวยงาม และเพลิดเพลินไปกับน้ำมะพร้าวสดๆ จากลูกมะพร้าว อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิดการแพร่ระบาดของโรค Covid-19 สิ่งต่างๆ ก็ได้เปลี่ยนไป ขณะนี้ มีเทรนด์ใหม่ที่เกิดขึ้นภายในชุมชน Digital Nomad โดยหลายๆ คนได้เรียกตัวเองว่าเป็น “Anywhere Workers” (ผู้ที่ทำงานได้ทุกที่)
คนทำงานเหล่านี้คือ Digital Nomad สายพันธุ์ใหม่ ผู้ซึ่งทำงานแบบ Remote Work (ทำงานโดยไม่ต้องเข้าออฟฟิต) พร้อมกับมีงานที่มั่นคง — หลายคนถึงกับเดินทางไปพร้อมๆ กับครอบครัวของพวกเขาเลยด้วยซ้ำ
ความแตกต่างระหว่าง พนักงานออฟฟิศแบบเดิม และ Digital Nomad มีมากกว่าการที่สามารถทำงานได้จากทุกที่ เหล่า Digital Nomad นั้นจะมีแนวทางการทำงานและทัศนคติโดยรวมที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น พนักงานออฟฟิศแบบเดิมมักจะยึดติดกับตารางเวลาที่แน่นอน โดยมักจะทำงานตั้งแต่ 09.00 ถึง 17.00 น. และมีการทำงานล่วงเวลาเป็นครั้งคราว ในทางกลับกัน พนักงานที่เป็น Digital Nomad ส่วนใหญ่จะมีชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากพวกเขาทำงานในอุตสาหกรรม Web3
กรอบทางความคิดของเหล่า Digital Nomads
เหล่า Digital Nomad ผู้ซึ่งต้องเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในการทำงานบ่อยครั้งจะต้องมีความยืดหยุ่น คุณจะต้องพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนตารางการทำงาน กิจวัตร และนิสัย ในขณะที่เดินทางไปยังสถานที่ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง พวกเขาอาจจะต้องรับมือกับความโดดเดี่ยวและความเหงา เปิดรับการมีปฏิสัมพันธ์ทางโลกดิจิทัล และสามารถสร้างสมดุลระหว่างการทำงานไปพร้อมๆ กับการที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พูดง่ายๆ ก็คือ ผู้ที่พร้อมจะใช้ชีวิตแบบ Digital Nomad จะต้องมีความรอบคอบและพร้อมที่จะเปิดรับแนวคิดหรือแนวทางในการทำงานและการใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่ๆ ที่แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง หากไม่มีการเตรียมการและการวางแผนที่เหมาะสม การที่จะเอาชนะความท้าทายที่มาพร้อมกับการเป็น Digital Nomad ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากพอสมควร
Jessica Lloyd, นักเดินทางรอบโลกและหัวหน้าฝ่าย Global Growth ของ BeinCrypto ได้แบ่งปันประสบการณ์ของเธอในการเป็น Digital Nomad ไว้อย่างน่าสนใจ:
ข้อดี: ผลพลอยได้จากความยืดหยุ่นและความเป็นอิสระที่มากยิ่งขึ้นก็คือ คุณจะปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้ดียิ่งขึ้น ลดความยึดติดกับ “สิ่งต่างๆ” เพียงผิวเผิน และสามารถพึ่งพาตนเองได้มากยิ่งขึ้นในแบบที่คุณก็ไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้
ข้อเสีย: ยิ่งคุณสำรวจสถานที่ต่างๆ และชื่นชมความงามของสถานที่เหล่านั้นมากเท่าไร การค้นหาสถานที่ที่ “สมบูรณ์แบบ” ก็ยิ่งยากมากขึ้นเท่านั้น และคุณก็จะรู้สึก “เชื่อมโยง” กับสถานที่ใดสถานที่หนึ่งน้อยลงเรื่อยๆ และเมื่อการทำงานและชีวิตส่วนตัวเริ่มซ้อนทับกันมากยิ่งขึ้น การรักษาสมดุลดังกล่าวก็จะเป็นเรื่องที่ท้าทายมากยิ่งขึ้น
เคล็ดลับ: มีงานแบบ Remote Work อยู่มากมายในปี 2023 และบริษัทส่วนใหญ่ก็กำลังปรับตัวเพื่อรองรับสิ่งนี้ อย่ากลัวที่จะถามนายจ้างในปัจจุบันหรือในอนาคตว่า การทำงานนอกสถานที่อยู่ในตัวเลือกหรือไม่ (แม้ว่าจะเป็นบางช่วงของปีก็ตาม) นี่อาจจะเป็นวิธีที่ดีในการเริ่มต้นการเดินทางของคุณ ให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีทั้งทางร่างกายและจิตใจ — ให้เหมือนว่ามันเป็นงานแรกและงานที่สำคัญที่สุดของคุณ และกำหนดเวลาให้กับคลาสออกกำลังกายและการดูแลตัวเองลงไปในปฏิทินของคุณ โดยส่วนตัวแล้ว ฉันชอบการประชุมทางโทรศัพท์และออกไปเดินเล่นข้างนอกทุกครั้งที่สามารถทำได้ ทำการลงทุนในอุปกรณ์สำหรับการทำงานนอกสถานที่ของคุณ แล็ปท็อป, อินเตอร์เน็ตที่สามารถเชื่อถือได้, ชุดหูฟัง, และพื้นที่ทำงานที่สะดวกสบายถือเป็นสิ่งที่สำคัญ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถปรับสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานได้ดียิ่งขึ้น
สิ่งสำคัญที่ควรจะพิจารณาหากต้องการใช้ชีวิตแบบ Digital Nomad
หากคุณพร้อมที่จะเริ่มต้นการเดินทางในฐานะ Digital Nomad และออกท่องโลกไปพร้อมกับการทำงานในระยะไกล มีบางสิ่งที่คุณควรจะพิจารณาล่วงหน้าและรวมไว้ในแผนการของคุณ
กฎระเบียบเรื่องวีซ่า
แต่ละประเทศมีกฏระเบียบเรื่องวีซ่าที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่กำหนดระยะเวลาที่คุณสามารถอยู่และทำงานในประเทศนั้นๆ ได้ Digital Nomad Visa คือ เอกสารแบบพิเศษที่อนุญาตให้คุณทำงานจากระยะไกลในประเทศหนึ่งได้เป็นระยะเวลานาน พูดง่ายๆ ก็คือ มันช่วยให้คุณสามารถอาศัยและทำงาน (แบบ Remote Work) อยู่ในต่างประเทศได้ ต่อไปนี้คือจุดหมายปลายทางยอดนิยมบางส่วนที่มี Digital Nomad Visa ให้บริการ:
- เอสโตเนีย: นี่ถือว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่ดีที่สุดสำหรับเหล่า Digital Nomad เนื่องจากพวกเขามีขั้นตอนการยื่นขอวีซ่าออนไลน์ที่ง่ายดาย ประเทศนี้อนุญาตให้เหล่า Remote Worker (ผู้ที่ทำงานระยะไกล) สามารถอยู่อาศัยและทำงานในประเทศได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นเวลาสูงสุด 1 ปี
- จอร์เจีย: อีกหนึ่งทางเลือกยอดนิยม (แม้แต่ในหมู่เพื่อนร่วมงานของ BeInCrypto เองก็ตาม!) ประเทศจอร์เจียอนุญาตให้เหล่า Digital Nomad อยู่อาศัยและทำงานในประเทศได้สูงสุด 1 ปี
- บาร์เบโดส: คุณต้องการที่จะอาศัยอยู่ในสวงสวรรค์แห่งแคริบเบียนหรือไม่? บาร์เบโดสคืออีกหนึ่งตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมที่สามารถอยู่อาศัยและทำงานได้เป็นระยะเวลาสูงสุด 1 ปี
- คอสตาริกา: อีกหนึ่งในประเทศที่สวยงามที่อนุญาตให้เหล่า Digital Nomad สามารถอยู่อาศัยและทำงานในประเทศได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นเวลาสูงสุดนานถึง 2 ปี
- โปรตุเกส: วีซ่า D7 ของโปรตุเกสได้รับการออกแบบมาให้ดึงดูดเหล่าผู้ที่ทำงานระยะไกล โดยสามารถอาศัยอยู่ในโปรตุเกสได้เป็นเวลา 1 ปี และสามารถต่ออายุได้อีก 2 ปี
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้ทำการศึกษาข้อมูลของประเภทและข้อกำหนดวีซ่าของประเทศที่คุณเลือกอย่างถี่ถ้วน ซึ่งรวมไปถึง ขั้นตอนการสมัคร กรอบระยะเวลา และช่วงระยะเวลาที่สามารถขยายวีซ่าออกไปได้
ข้อกำหนดทางการเงิน
ในขั้นตอนการยื่นขอวีซ่าบางประเภท เช่น Digital Nomad Visa บางประเทศอาจจะขอหลักฐานที่แสดงให้เห็นได้ว่า คุณมีเงินมากเพียงพอในบัญชีธนาคารของคุณ (ซึ่งมักจะเป็นส่วนหนึ่งของข้อกำหนดการเข้าประเทศ) เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่าคุณสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ และไม่มีความตั้งใจที่จะอยู่หรือทำงานผิดกฎหมายในประเทศ
อย่างไรก็ตาม จำนวนเงินที่ต้องการอาจจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละประเทศ ดังนั้น อย่าลืมศึกษาข้อกำหนดทางการเงินต่างๆ โดยเฉพาะสำหรับจุดหมายปลายทางแต่ละแห่งที่คุณตั้งใจจะไปเยือน
สุขภาพและประกันภัย
อย่าลืมตรวจสอบว่า มีวัคซีนที่คุณจะต้องฉีดหรือแนะนำให้ฉีดก่อนจะเข้าไปยังประเทศจุดหมายปลายทางของคุณหรือไม่ นอกจากนี้ ให้พิจารณาในการทำประกันสุขภาพสำหรับการเดินทางด้วย — บางบริษัทจะมีแผนประกันสุขภาพสำหรับเหล่า Digital Nomads โดยเฉพาะ ยกตัวอย่างเช่น Safety Wing, World Nomads, หรือ Atlas Travel Insurance เป็นต้น
ภาระภาษี
เหล่า Digital Nomad ควรที่จะปฏิบัติตามภาระผูกพันด้านภาษีเช่นเดียวกับผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศคนอื่นๆ จำนวนเงินทั้งหมดจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น ระยะเวลาที่คุณอาศัยอยู่ในประเทศใดประเทศหนึ่ง ประเภทงานที่คุณทำ และสถานะ Tax Residency ของคุณ บางประเทศอาจจะกำหนดให้คุณต้องจ่ายภาษีจากรายได้ที่ได้รับในท้องถิ่น ในขณะที่บางประเทศอาจจะไม่ต้องจ่ายก็ได้ หากคุณไม่แน่ใจเรื่องวิธีจัดการกับความรับผิดชอบทางด้านภาษี วิธีที่ดีที่สุดคือการขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี
Web3: อุตสาหกรรมที่สมบูรณ์แบบสำหรับเหล่า Digital Nomads
หลักปฏิบัติของ Web3 เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเหล่า Digital Nomad และ Remote Worker เนื่องจากมันเป็นการส่งเสริมความเป็นอิสระและช่วยให้บุคคลต่างๆ มีส่วนร่วมในระบบนิเวศดิจิทัลอย่างเท่าเทียมกันมากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าการใช้ชีวิตในรูปแบบนี้จะมาพร้อมกับความท้าทายบางประการ แต่สำหรับเหล่ามืออาชีพในโลก Web3 แล้ว โอกาสในการเดินทางไปทำงานในที่ต่างๆ รอบโลกนั้นเป็นสิ่งที่สามารถทำได้อย่างแท้จริง
คำถามที่พบบ่อย
คุณจะเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของคุณไปสู่การเป็น Digital Nomad ได้อย่างไร?
Web3 สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์แบบ Digital Nomad อย่างไร?
ข้อจำกัดความรับผิด
ข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่บนเว็บไซต์ของเราเผยแพร่ด้วยเจตนาที่ดีและเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น การกระทำใด ๆ ที่ผู้อ่านดำเนินการตามข้อมูลที่พบบนเว็บไซต์ของเราถือเป็นความเสี่ยงของผู้อ่านโดยเฉพาะ Learn ให้ความสำคัญกับข้อมูลคุณภาพสูง เราอุทิศเวลาให้กับการแยกแยะ ค้นคว้า และสร้างเนื้อหาเพื่อการศึกษาซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน เพื่อเป็นการรักษามาตรฐานนี้และเพื่อสร้างเนื้อหาคุณภาพได้อย่างต่อเนื่อง พาร์ตเนอร์ของเราอาจตอบแทนเราด้วยค่าคอมมิชชั่นสำหรับการจัดวางตำแหน่งต่าง ๆ ในบทความของเรา อย่างไรก็ดี ค่าคอมมิชชั่นนี้ไม่มีผลต่อกระบวนการของเราในการสร้างเนื้อหาที่ไร้อคติ ตรงไปตรงมา และเป็นประโยชน์