ดูเพิ่มเติม

The Merge ชี้ นักกฎหมาย SEC ยังขาดความเข้าใจเรื่องคริปโต

1 min
โดย Guest Op-Ed
แปลแล้ว Azmi Boonmalert

สรุปย่อ

  • The Merge ยังรับผลในด้านกฎหมาย
  • Gary Gensler ประธาน SEC กล่าวว่า เหรียญคริปโตที่มีความเสี่ยงมีแนวโน้มที่จะถูกนับเป็นสินทรัพย์
  • เหรียญคริปโตควรมีหน่วยงานกำกับดูแล

The MergeEthereum และการย้ายระบบจากกลไก Proof-of-Work ในปัจจุบัน ไปยังกลไก Proof-of-Stake ที่หลายคนเฝ้ารอได้เกิดขึ้นแล้ว แต่การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ไม่ได้ราบรื่นเท่าที่ควร โดยยังมีผลกระทบด้านกฎหมายที่ต้องแก้ไขต่อ และการตั้งชื่อต่างๆ ก็จะเปลี่ยนไปด้วย ซึ่งอาจจะไม่ใช่ทุกคนที่ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้

สกุล ETH สำคัญเกินกว่าจะอยู่เหนือการตรวจสอบ

การที่สกุล ETH เปลี่ยนไปใช้กลไก Proof of Stake หมายความว่า นักลงทุนส่วนใหญ่จะต้องเสี่ยงกับผู้ดูแลรับฝากสินทรัพย์ เพราะนักลงทุนเหล่านี้ไม่มี 32ETH ซึ่งแปลว่า หุ้นส่วนใหญ่ในระบบจะอยู่ในมือของบริษัทขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นไปได้ว่า ผู้กำกับดูแลจะสั่งห้ามบริษัทเหล่านี้รับรองธุรกรรมรายบุคคล ส่งผลให้การยืนยันธุรกรรมมีความล่าช้า

ปัญหาหลัก คือ ความเร็วในการยืนยันธุรกรรม เพราะผู้รับรองบางรายมักจะรับรองธุรกรรมภายหลัง

ในฐานะเครือข่าย DeFi  ที่สำคัญที่สุด ETH จะเป็นคานงัดหลักของนโยบายด้านกฎระเบียบ โทเค็นอย่าง USDC และเหรียญอื่นๆ มีการพัฒนากลไกบล็อกและสร้างแบล็คลิสต์อยู่แล้ว แตกต่างจากตลาด DeFi ทั่วไป และแม้ว่าการรับบทบาทเครื่องมือสู่ความเปลี่ยนแปลงของเหล่าบริษัทผู้รับรองและตลาด MEV จะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ในระยะสั้น การทำเช่นนี้จะสร้างความตกใจมากกว่า เพราะจำนวน miners มีอยู่เยอะมาก และไม่มีใครไม่สามารถควบคุมกระบวนการนี้ พร้อมกับควบคุมต้นทุนได้

จากข้อมูลทั้งหมด หน่วยงานที่กำกับดูแลอาจตั้งใจบังคับให้ผู้รับรอง node ต่างๆ ที่ดำเนินการอยู่ในขอบเขตอำนาจศาล ต้องใช้กระบวนการ AML กับธุรกรรมที่รับรอง

The merge ทำให้คริปโตตกเป็นเป้า SEC

ประธาน SEC ประเทศสหรัฐอเมริกา Gary Gensler ชี้แจงในแถลงการณ์ เมื่อวันที่ 15 กันยายน ว่า เหรียญคริปโตที่มีความเสี่ยงสูงสมควรอย่างยิ่งที่จะได้รับการกำกับดูแลโดย SEC ซึ่งน่าจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับ Ethereum โดย SEC ยังอ้างอีกว่า SEC มีอำนาจควบคุมธุรกรรมเกี่ยวกับเหรียญ ETH เพราะ nodes ของเครือข่ายนี้กระจุกตัวอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา

ก่อนหน้านี้ แนวทางการรับมือคริปโตด้านกฎระเบียบของ SEC เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์แล้ว ยกตัวอย่างเช่น กรณีของ BlockFi ที่ SEC ประกาศใช้มาตรการควบคุมกับบริษัทที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนบัญชีฝากดอกเบี้ยสูง ซึ่งนับเป็นสินทรัพย์ ในเดือนกุมภาพันธ์ โดยหนึ่งในข้อบังคับของ SEC คือการบังคับให้ธุรกิจ BlockFi ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติบริษัทลงทุนปี 1940 ภายใน 60 วัน

ด้วยเหตุนี้ BlockFi จึงถูกประมูลขาย ส่วนบริษัทอีกสองแห่งที่มีธุรกิจคล้ายคลึงกันก็ล้มละลาย ตามคำบอกเล่าของ Stu Alderoty ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของ Ripple General

เหตุการณ์นี้เป็นหลักฐานว่า SEC เคยใช้กฎระเบียบตั้งแต่ 1940 เพื่อกำกับดูแลเทคโนโลยีใหม่ที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล

แถลงการณ์ของ SEC

ถ้าให้พูดแบบถนอมน้ำใจ แถลงการณ์ SEC ที่ว่า Ethereum ทั้งหมดอยู่ในขอบเขตอำนาจศาลอเมริกานั้นไม่ใช่เรื่องจริง และถึงจะจริง ก็คงจะเข้าข้าง SEC มาก เพราะลอจิคของ SEC คือ การที่ node network  ของบล็อกเชน Ethereum กระจุกตัวอยู่ในประเทศอเมริกามากกว่าที่อื่น ดังนั้น SEC จึงควรถือว่าธุรกรรมเกี่ยวกับ Ethereum ทั้งหมดมีต้นกำเนิดจากประเทศอเมริกา

แต่จากรายงานของ Etherscan พบว่า มี Ethereum nodes เพียง 46.19 เปอร์เซ็นต์ที่มีฐานอยู่ในประเทศอเมริกา ซึ่งยังไม่ถือเป็นส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ ในทำนองเดียวกับแถลงการณ์ของ SEC เราอาจใช้ข้อมูลนี้แย้งได้ว่า มีเพียงสหภาพยุโรปเท่านั้นที่กำกับดูแล Bitcoin ได้

ผมเชื่อว่า แถลงการณ์เหล่านี้เป็นเพียงผลจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของนักกฎหมายใน SEC แต่เราต้องไม่ลืมข้อเท็จจริงที่ว่า SEC เคยกำกับดูแลคริปโตผ่านการบังคับใช้กฎหมาย

ข้อสรุป

 SEC และหน่วยงานกำกับดูแลอื่นๆ มีความกังวลที่เงินจำนวนมากไหลเวียนอยู่ในวงการ DeFi โดยไม่มีการควบคุม และเนื่องจากบล็อกเชน ETH คือฐานของโทเค็นส่วนใหญ่ กระบวนการ PoS แบบใหม่ก็อาจถูกนำมาอ้างเพื่อควบคุมตลาดแบบไร้ศูนย์กลางได้ อย่างน้อยๆ ก็บางส่วน

แพลตฟอร์มคริปโตที่ดีที่สุดในไทย | เมษายน 2024

Trusted

ข้อจำกัดความรับผิด

ข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่บนเว็บไซต์ของเราเผยแพร่ด้วยเจตนาที่ดีและเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น การกระทำใด ๆ ที่ผู้อ่านดำเนินการตามข้อมูลที่พบบนเว็บไซต์ของเราถือเป็นความเสี่ยงของผู้อ่านโดยเฉพาะ

ได้รับการสนับสนุน
ได้รับการสนับสนุน