การ Burn เหรียญคริปโต และ NFTs โดยการส่ง Token ต่างเหล่าๆ นี้ไปยังกระเป๋านอกบล็อกเชนที่ไม่สามารถเปิดหรือส่งต่อไปยังที่ใดได้ แต่แท้จริงแล้วมีความซ้ำซ้อนทางเทคนิคและกลยุทธ์ทางเศรษฐศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องเป็นแก่นสำคัญ
การเผาเงิน ไม่ใช่แนวคิดใหม่และมันเป็นไปเพื่อประโยชน์ของเจ้าของสถาบัน/บริษัท
การนำสินทรัพย์ออกจากการหมุนเวียนเพื่อปรับความพร้อมใช้งานและมูลค่ามีมากนานแล้วในระบบการเงินปัจจุบัน หรือการลดอุปทานเพื่อเพิ่มอุปสงค์ทางอ้อมนั่นเอง หรือเพื่อรักษาอำนาจการควบคุมยกตัวอย่างเช่น
- ธนาคารกลาง ที่สามรถปรับปริมาณสกุลเงินหมุนเวียนเพื่อปรับกำลังซื้อของสกุลเงินนั้นๆ หรืออย่าง FED ที่ทำ Quantitative Tightening (QT) เพื่อดึงสภาพคล่องออกนั่นเอง อีกนัยหนึ่ง คือ การสร้างภาวะเงินฝืด เพื่อชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจ และลดอุปทานเกินบนตลาด (เงินเฟ้อ)
- บริษัทมหาชนที่ซื้อหุ้นคืนเพื่อลดจำนวนที่หุ้นหมุนเวียนในระบบ โดยทั่วไป แนวปฏิบัตินี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มมูลค่าหุ้นในขณะที่เพิ่มประสิทธิภาพทางการเงินของบริษัท แต่แน่นอนว่าบางครั้งมันกลับส่งผลตรงกันข้ามเพราะอุปทานที่แท้จริงนั้นไม่เพียงพอทำให้สภาพคล่องต่ำลง
- การซื้อหุ้นคืนยังเป็นวิธีหนึ่งในการรักษาอำนาจการควบคุมบริษัท โดยบริษัทต่างๆ สามารถใช้กลยุทธ์นี้เพื่อป้องกันการเข้าซื้อกิจการจากบริษัทคู่แข่ง อีกนัยหนึ่งคือ การซื้อหุ้นเพื่อให้ได้เสียงข้างมาก เพื่อรักษาความเป็นเจ้าของบริษัท
เช่นเดียวกันกับการ Burn เหรียญคริปโต การลดอุปทานในระบบในช่วงตลาดกระทิง ทำไปเพื่อหนุนหลักแรงดันราคาจากอุปสงค์ที่อยู่ในระดับสูง ทำให้ราคาพุ่งทะยานมากขึ้นและทำให้มูลค่าบริษัททางบัญชี (Market Cap) ทวีคูณขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้ ยังทำให้เปอร์เซ็นต์การถือครองของกลุ่มเจ้าของบริษัทเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย เพราะส่วนใหญ่แล้วเหรียญที่ถูกเผา ไม่ใช่อุปทานจากส่วนของเจ้าของโปรเจค แต่เป็นรายย่อย เช่น การเผาส่วนหนึ่งของค่าธรรมเนียมการโอน
กระแสการ Burn เหรียญในช่วงหนึ่งที่ผ่านมา
การเผาเหรียญถูกจุดฉนวนด้วย EIP-1559 ของ Ethereum ตามด้วยโปรเจคชื่อดังอีกมากมาย เช่น Columbus-5 (TIP44) ของ Terra MKRBurn ของ MakerDao และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ละโปรเจคก็เลือกรูปแบบการเผาเหรียญที่แตกต่างกันออกไป
- เผาจากค่าธุรกรรม
Ethereum ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่เป็นอันดับสองตามมูลค่าราคา ได้นำระบบการทำงาน EIP-1559 ซึ่งเป็นการอัปเดตที่เปิดตัวในเดือนสิงหาคม 2021 เพื่อเผา Ethereum ส่วนหนึ่งที่รวบรวมจากค่าธรรมเนียมจากการตรวจสอบธุรกรรมบนเครือข่าย ปัจจุบันได้เผา Ethereum ไปแล้วมูลค่ากว่า 2.9 พันล้านดอลลาร์ (2.5 ล้าน ETH) นับตั้งแต่เปิดตัว ตามรายงานของ Watch the Burn โดยเฉพาะล่าสุดการเปิดตัวโปรเจคอย่าง Otherdeed NFTs ที่ได้เผาเหรียญไปมูลค่าไปกว่า 157 ล้านเหรียญสหรัฐ
- เผาเพื่อ Mint ในระบบ Algorithmic Stablecoin
UST ของ Terra หรือ algorithmic Stablecoin ใช้กระบวนการที่เรียกว่า seigniorage นั่นคือการ mint ของ UST จะต้องเผา LUNA ตามมูลค่าเทียบเงินดอลลาร์ ณ ขณะนั้น หากมูลค่า UST ลดลงกว่า 1 USD LUNA จะถูก mint ขึ้นโดยการเผา UST จำนวนเท่ากับมูลค่า USD ของ LUNA ณ ขณะนั้น หลังจากที่ Terra พังทลายลง ปัจจุบันเหรียญ USDD จาก TRON ก็ยังใช้ระบบที่คล้ายคลึงกันนี้อยู่
- เผาจาก Supply ส่วนเกินเพื่อ Reward ชุมชน
ในระบบ Tokenomics ของ MakerDao ผลิตภัณฑ์หลักของโปรเจค คือ การนำเหรียญคริปโตมาวางค้ำประกัน เพื่อกู้เหรียญ Stablecoin DAI หรือเรียกว่าการ Over-collateralized แต่หลังจากวิกฤตการหลุด peg ในเดือนมิถุนายน 2020 ได้มีการเปิดระบบกองทุนสำรอง (Surplus Buffer) ขึ้น โดยนำส่วนหนึ่งของค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยต่างๆ มาเก็บสะสมเข้ากองทุน หลังจากนั้น ระบบ MKRBurn ในปัจจุบันคือ การนำ DAI ส่วนเกินจากกองทุนสำรองมาซื้อคืน (buy back) เหรียญ MKR ในตลาดและส่งเข้าเตาเผา ระบบการเผานี้ในแง่หนึ่งคือ การลดอุปทานส่วนเกินในขณะเดียวกันก็เพื่อตอบแทนชุมชนทางอ้อมในเชิงของราคา ปัจจุบันมีการเผาไปแล้วกว่า 22,368 MKR นับเป็น 2.24% ของอุปทานทั้งหมด 1 ล้าน MKR
- การเผาในรูปแบบอื่นๆ : Burn เพื่อ Mine (PoB)
ระบบ Proof-of-burn (PoB) คือ การทำลายเพื่อสร้าง เป็นหนึ่งใน consensus algorithm ที่ดำเนินการโดยเครือข่ายบล็อคเชน เพื่อพิสูจน์ความถูกต้องของธุรกรรมบนบล็อกเชน
Iain Stewart คิดค้น PoB ใช้การเปรียบเทียบเพื่ออธิบายการทำงานว่า เหรียญที่ถูกเผาเป็นเหมือนแท่นขุด นักขุดจะเผาเหรียญเพื่อซื้อเครื่องขุดเสมือนจริงที่ให้พลังในการขุดบล็อค ยิ่งนักขุดเผาเหรียญมากเท่าไร “แท่นขุดเจาะ” เสมือนของพวกเขาก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นและขุดหารางวัลได้มากขึ้น
ในการเผาเหรียญ นักขุดจะส่งมันไปยังที่อยู่ที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ กระบวนการนี้ไม่ใช้ทรัพยากรหรือพลังจำนวนมาก (นอกเหนือจากเหรียญที่ถูกเผา) และช่วยให้เครือข่ายยังคงทำงานอย่างคล่องตัว ผู้ขุดสามารถเผาสกุลเงิน native หรือสกุลเงินทางเลือกจากเชนย่อยอื่นๆ (alternative chain) ก็ได้ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน พวกเขาได้รับรางวัลเป็นเหรียญสกุล native แทน ตัวอย่างหนึ่งคือ ShibBurn ที่นำเหรียญ Shib มาเผาเพื่อขุด เหรียญ RYOSHI VISION และ 0.49% จากค่าธุรกรรมทั้งหมดจะทุกมอบเป็นรางวัลเพิ่มเติมให้กับผู้ที่เผา Shib อีกตัวอย่างหนึ่งคือ Slimcoin ที่จำนวนเหรียญที่ถูกเผาจะยิ่งเพิ่มโอกาสในการค้นหาบล็อกเพื่อขุด ในขณะเดียวกันการขุดก็คือการพิสูจน์ธุรกรรมการเผาของผู้อื่นเพื่อรับรางวัล
ระบบ PoB ยังเป็นกลไกหนึ่งเพื่อสร้างความเสมอภาคระหว่างนักขุดที่เข้ามาก่อนและคนที่มาที่หลัง เพราะปกติในระบบ PoW ผู้ที่เริ่มขุดก่อนจะได้อุปทานมาง่ายกว่า ผู้ที่มาที่หลังเพราะค่า difficulty ที่เพิ่มตามจำนวนบล็อก แต่ระบบ PoB จำเป็นต้องเผาเหรียญเพื่อขุด จึงทำให้รายใหญ่รักษาอัตราส่วนการถือครองไว้ได้ยากขึ้น การขุดจึงไม่เกี่ยวกับการมาก่อนหลังแต่อยู่ที่จำนวนการลงทุนเผื่อเผานั่นเอง
การเผา NFTs
ไม่ต่างไปจากแนวคิดเบื้องหลังการเผาเหรียญคริปโต การ burn NFTs เป็นไปเพื่อควบคุมอุปสงค์และอุปทาน หรือ “การบริหารคุณค่าของ NFTs” ถ้าหากอุปทานขาดแคลนจะทำให้อุปสงค์เพิ่มขึ้นและอาจเพิ่มมูลค่าของมันได้ ยกตัวอย่างเช่น การเผาอุปทานส่วนเกินที่ไม่มีคนมิ้นท์ในช่วงเปิดตัวโปรเจค และ การเผา NFTs เพื่อแลก NFTs ตัวใหม่ ซึ่งพบเห็นได้บ่อยๆ ใน 2 รูปแบบ
- รูปแบบแรก คือ เมื่อโปรเจคต้องการเปลี่ยนโครงสร้างของคอลเลคชั่น เช่น การย้ายเชน หรือการอัพโหลดคอลเลคชั่นใหม่ การเผา NFTs เป็นการแสดงสิทธิ์แลกรับ NFTs ชิ้นเดิม บนโครงสร้างใหม่ รูปแบบนี้คือกลยุทธิ์ในการเผาเพื่อย้ายโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การย้าย NFTs จำนวนกว่า 48 โปรเจค ประกอบไปด้วยจำนวน NFTs กว่า 90 คอลเลคชั่น จาก Terra มาที่ Polygon เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม หลังการล่มสลายของ Terra
- รูปแบบที่สอง คือ การ burn เพื่อแลกรับ NFTs ชิ้นใหม่ ซึ่งเป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น โปรเจคชื่อดัง อย่าง Bored Ape Yacht Club (BAYC) ที่ airdrop Serum ที่สามารถเผาเพื่อแลก Mutant Ape ได้ โดยการแจกจ่าย Serum จะมี 3 ระดับ คือ M1 M2 และ M3 ที่จำนวน 7,500 ชิ้น 2,492 ชิ้น และ 8 ชิ้น ตามลำดับ โดย M3 เคยถูกขายไปในมูลค่ากว่า 5.8 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ยังมีรูปแบบที่เน้น การผสมหรือเผา NFTs 2 ชิ้นเพื่อแลก NFTs ชิ้นใหม่ที่แรร์กว่า รูปแบบนี้จะทำให้จำนวนหรืออุปทานของคอลเลคชั่นเดิมจะลดลง โดยเฉพาะกับโปรเจคอย่าง Cryptokitties ที่ NFTs ระดับปกติสามารถมิ้นท์ได้อย่างไม่จำกัด
- รูปแบบอื่นๆ เช่น การ เผาเพื่อมิ้นท์ เหรียญ เช่น โปรเจค Burn.art ที่เหรียญ ASH จะได้รับจากการเผา NFTs ของโปรเจค โปรเจคดังกล่าวริเริ่มโดยศิลปินนาม Pak ซึ่งเทคนิคนี้ทำให้มูลค่าของชิ้นงาน NFTs พุ่งสูงขึ้น ในขณะเดียวกันการประมูล NFTs ชิ้นใหม่ ก็จะต้องใช้ ASH ในการประมูล และไม่มี pre-sale ของเหรียญใดๆ รวมถึง Liquidity Pool ที่ทางชุมชนเป็นผู้สร้างเอง และสามารถซื้อขายได้ผ่าน Uniswap และ Gemini ถือว่าการ burn NFTs กลายเป็นหัวใจหลักของการสร้างระบบทางเศรษฐศาสตร์เชิงสร้างสรรค์ระดับย่อมนี้เลยที่เดียว
วิธีการ Burn NFTs กรณีนักสะสมต้องการทำความสะอาดกระเป๋าตนเอง
หากนักสะสมต้องการเผา NFTs ของตนเอง ให้ลงชื่อเข้าใช้ตลาดที่คุณมิ้นท์ NFT ของคุณ และเลือกชิ้นงานที่คุณต้องการทำลาย จากนั้นเลือกตัวเลือกการตั้งค่าแล้วเลือก “Burn Token” ในบางกรณี ผู้ใช้งานอาจจะต้องไปที่คอนแทรคและเขียน คอนแทรคใหม่ และมองหาฟังก์ชันการเผา จากนั้น ป้อน tokenId ของตนเองและเลือกเขียนคอนแทรคขึ้น โดยทั่วไปขั้นตอนจะเป็นดังนี้
- ผู้ถือ NFTs ส่งคำสั่งเผา และจำนวน NFTs ที่เขาต้องการจะกำจัด
- คอนแทรคจะเช็คกระเป๋าของผู้ส่งคำสั่งว่ามีเหรียญคริปโตพอในการจ่ายค่าทำธุรกรรมหรือไม่ หากเผาบน Ethereum อาจเสียค่าแก๊สระหว่าง 5- 100 ดอลลาร์ ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นในเวลานั้น
- Sign คอนแทรค หากค่าทำธุรกรรมเพียงพอ NFTs จะหายไปตลอดการ แต่หากไม่เพียงพอการทำธุรกรรมจะถูกยกเลิก
การส่งคำสั่งเผาผ่านคอนแทรคนี้จะถูกบันทึกลงบนบล็อกเชน และการส่ง NFTs เข้ากระเป๋าสำหรับการ Burn นี้นั้นเหมือนกันกับการเผาเหรียญคริปโต นั่นคือเป็นกระเป๋าที่อยู่นอกบล็อกเชนและไม่สามารถ เปิดหรือส่งคำสั่งทำธุรกรรมใดๆ ได้
ข้อจำกัดความรับผิด
หมายเหตุบรรณาธิการ: เนื้อหาต่อไปนี้ไม่ได้สะท้อนถึงมุมมองหรือความคิเห็นของ BeInCrypto มันจัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้นและไม่ควรถูกตีความว่าเป็นคำแนะนำทางการเงิน กรุณาทำการวิจัยของคุณเองก่อนที่จะทำการตัดสินใจลงทุนใดๆ