“เงิน” เป็นนวัตกรรมสำหรับการแลกเปลี่ยนสินค้าในระบบเศรษฐกิจ การใช้เงินช่วยให้ผู้ซื้อและผู้ขายชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้ง่ายขึ้นและมีค่าธรรมเนียมธุรกรรมที่น้อยลงเมื่อเทียบกับระบบการแลกเปลี่ยน (bartering)
เงินประเภทแรกที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ คือสินค้าโภคภัณฑ์ คุณสมบัติทางกายภาพของมันทำให้พวกมันเป็นที่ต้องการในฐานะสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเพราะมันทนทานต่อการเสื่อมสลาย และคงสภาพไว้ได้นาน
ในปัจจุบัน เงินส่วนใหญ่ถูกออกโดยรัฐบาลเพื่อเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนและชำระหนี้ Fiat Money, สื่อสิ่งทดแทนเงินต่างๆ (Money Substitute), ตราสารเงินต่างๆ รวมถึงหนี้, หรือเงินดิจิตอลอิเล็กทรอนิกส์อย่าง cryptocurrency
บทบาทของ “เงิน”
เงินเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง มันถูกใช้อำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมทั้งและเป็นสิ่งเทียบมูลค่าของสิ่งต่างๆ นอกจากนี้ยังเป็นที่เก็บมูลค่าและเป็นหน่วยสำหรับบัญชีที่สามารถวัดมูลค่าของสินค้าต่างๆ
ก่อนที่จะมาเป็นเงินในปัจจุบัน เศรษฐกิจส่วนใหญ่อาศัยการแลกเปลี่ยนสินค้า (bartering) ซึ่งบุคคลจะแลกเปลี่ยนสินค้าที่ตนมีโดยตรงสำหรับสิ่งที่ต้องการ สิ่งนี้ทำให้เกิดปัญหาเรื่องความต้องการที่ไม่ตรงกันเพราะธุรกรรมจะสำเร็จก็ต่อเมื่อคู่สัญญาทั้งสองมีบางสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ เงินช่วยขจัดปัญหานี้โดยทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่มีมูลค่าเป็นกลาง
สื่อกลางรูปแบบแรก คือสินค้าเกษตร เช่น เมล็ดพืช วัวหรือควาย สินค้าเหล่านี้มีความต้องการสูงและผู้ค้ารู้ว่าพวกเขาจะสามารถใช้หรือแลกเปลี่ยนสินค้าเหล่านี้ได้อีกในอนาคต เมล็ดโกโก้ เปลือกคาวรี และเครื่องมือการเกษตร สิ่งเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นเงินรูปแบบแรกๆ
ในเวลาต่อมาเศรษฐกิจมีความซับซ้อนมากขึ้น จึงจำเป็นต้องสร้างมาตรฐานกลางหรือ “สกุลเงิน” ให้เกิดขึ้น นวตักรรมนี้ช่วยลดต้นทุนการทำธุรกรรมโดยทำให้ง่ายต่อการวัดและเปรียบเทียบมูลค่า สกุลเงินถูกพัฒนาขึ้นและเข้าใกล้ความเป็น “นามธรรม” มากขึ้นเรื่อยๆ จากโลหะมีค่าไปสู่เหรียญตราประทับ และกระดาษ ในปัจจุบันเงินกำลังเข้าสู่ยุคเงินอิเล็กทรอนิกส์ ที่ไม่สามารถจับต้องได้
คุณสมบัติของเงินที่ดี
เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เงินควรมีคุณสมบัติในการทดแทนมูลค่า ความทนทาน พกพาสะดวก สังเกตได้ง่ายและมีอุปทานที่มั่นคง คุณสมบัติเหล่านี้ช่วยลดต้นทุนการทำธุรกรรมของการใช้เงินโดยทำให้ง่ายต่อการแลกเปลี่ยน
- คุณสมบัติในการทดแทนมูลค่า (Fungible)
คำว่า fungible หมายถึงคุณสมับติที่ช่วยให้สิ่งหนึ่งสามารถแลกเปลี่ยน ทดแทน หรือแลกเป็นสิ่งอื่นได้ภายใต้สมมติฐานของมูลค่าต่อหน่วยที่เท่ากัน อีกนัยหนึ่งคือ เงินควรมีมาตรฐานเดียวกันที่ทดแทนกันได้ในเชิงมูลค่า
ตัวอย่างเช่น เหรียญโลหะควรมีน้ำหนักและความบริสุทธิ์มาตรฐาน เงินของสินค้าโภคภัณฑ์ควรมีคุณภาพที่เท่ากัน (Fungible) หากหน่วยของเงินไม่มีมาตรฐานโดยเฉพาะ หรือไม่สามารถทดแทนกันได้ มันจะทำให้เกิดต้นทุนการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการประเมินแต่ละหน่วยของสินค้าก่อนที่จะทำการแลกเปลี่ยน
- ความทนทาน (Durable)
มันควรมีความทนทานมากพอที่จะรักษาประโยชน์สำหรับการแลกเปลี่ยนในอนาคต สินค้าที่เน่าเสียง่ายหรือสินค้าที่เสื่อมสภาพอย่างรวดเร็วเนื่องจากการแลกเปลี่ยนต่างๆ จะมีประโยชน์น้อยกว่าสำหรับการทำธุรกรรมในอนาคต การเสื่อมสภาพจะทำให้ความสามารถในการเป็นสินทรัพย์เพื่อรักษาความมั่งคั่งน้อยลง
- ความสามารถในการพกพา (Portable)
มันควรจะง่ายต่อการพกพาและการแบ่งหน่วยย่อย เพื่อให้มันมีความคล่องตัวที่สูง สามารถพกพาไปที่ใดๆ ก็ได้ ตัวอย่างเช่น หากเราใช้โลหะมีค่า เพื่อแลกเปลี่ยน การทำธุรกรรมที่มีมูลค่าสูงอาจทำได้ยากและต้องเสียค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมนั้นมากขึ้น เพราะน้ำหนังของมันหนักและต้องเสียเงินเพื่อทำการขนย้าย
- คุณสมบัติของการเป็นสิ่งที่สังเกตได้ง่าย (Recognizable)
ความถูกต้องและปริมาณของสินค้าควรปรากฏให้ผู้ใช้เห็นได้ง่าย เพื่อให้สามารถยอมรับเงื่อนไขการแลกเปลี่ยนได้อย่างง่ายและรวดเร็ว การใช้สินค้าที่ไม่สามารถระบุมูลค่าได้อย่างชัดเจน อาจส่งผลให้เกิดต้นทุนการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบมูลค่าสูง
- อุปทานที่มั่นคง
อุปทานของสินค้าที่ใช้เป็นเงินควรจะมั่นคง เพื่อป้องกันความผันผวนของมูลค่าในอนาคต การใช้สินค้าที่ไม่มีเสถียรภาพจะทำให้เกิดต้นทุนในการทำธุรกรรม เนื่องจากความเสี่ยงที่มูลค่าของสินค้าอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงเนื่องจากความขาดแคลนหรืออุปทานที่มากเกินไปทำให้ต้นทุนการทำธุรกรรมครั้งถัดไปมีต้นทุนที่สูงขึ้น
หน้าที่ของ “เงิน”
แม้ว่าหน้าที่หลักของมันจะมีไว้แลกเปลี่ยนและมีไว้ตีตรามูลค่าของสิ่งต่างๆ แต่มันยังมีฟังก์ชั่นอื่นๆ อีกในฐานะที่มันเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยน
- การเป็นหน่วยวัดทางบัญชี
มันสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าของสินค้าเมื่อเวลาผ่านไปและสามารถใช้บันทึกติดตามข้อมูลธุรกรรมต่างๆ ได้ ผู้คนสามารถใช้เพื่อเปรียบเทียบมูลค่าระหว่างสิ่งของคนละสิ่งได้ ซึ่งมันทำให้เราสามารถทำบัญชีคำนวณที่ซับซ้อนได้ เช่นสำหรับบันทึกกำไรขาดทุน ปรับสมดุลงบประมาณ และมูลค่าสินทรัพย์รวมของบริษัท
- การเป็นสิ่งรักษามูลค่า
ประโยชน์ของมันคือ การเป็นสื่อกลางเพื่อรักษามูลค่าในปัจจุบัน ให้ยังคงอยู่ในอนาคต โดยไม่ทำให้มูลค่านั้นเสื่อมลง ดังนั้น เมื่อผู้คนแลกเปลี่ยนสิ่งของเป็นเงิน เงินนั้นจะยังคงมีมูลค่าอยู่ และนำมูลค่านั้นไปแลกเปลี่ยนได้เช่นเดิม ซึ่งแตกต่างจากการแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งของ ที่ความต้องการของแต่ละคู่สัญญาไม่เหมือนกัน
- ความสามารถในการทำธุรกรรมที่ยังไม่เกิดขึ้น
เนื่องจากมันมีความสามารถทางบัญชี มันจึงสามารถผลัดมูลค่าในช่วงเวลาต่างๆ ไปในรูปแบบของเครดิตและหนี้สินได้ บุคคลหนึ่งสามารถยืมเงินจำนวนหนึ่งจากบุคคลอื่นตามระยะเวลาที่ตกลงกันไว้ และชำระคืนเงินตามจำนวนที่ตกลงกันไว้อีกจำนวนหนึ่งในอนาคต
เงินประเภทต่างๆ
- เงินที่ถูกกำหนดโดยตลาด (Market-Determined Money)
เงินสามารถเกิดขึ้นได้อุปสงค์ในตลาด เช่นในระบบ bartering ทองคำหรือโลหะมีค้า อาจเป็นสินค้าสื่อกลางที่ดีในการแลกเปลี่ยนเพราะมันมีคุณสมบัติหลายข้อตามที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้
เมื่อเวลาผ่านไป สินค้าเหล่านี้ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นในฐานะสื่อกลาง แทนที่จะนำมันมาใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับทำสิ่งของอื่นๆ จนในที่สุดมันอาจกลายมาเป็นสินค้าสำหรับซื้อขายในเชิงอนุพันธ์
ในอดีต โลหะมีค่า เช่น ทองคำและเงิน มักถูกใช้เป็นเงินที่กำหนดโดยตลาด มันได้รับการยอมรับอย่างสูงจากวัฒนธรรมและสังคมต่างๆ มากมาย อีกตัวอย่างหนึ่งในสังคมไร้เงินสด เช่น ในคุกผู้คนมักหันไปใช้บุหรี่ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หรือสินค้าที่ไม่เน่าเปื่อยอื่นๆ
- สกุลเงินที่ออกโดยรัฐ (Government-Issued Currency)
เมื่อสินค้าลักษณะหนึ่ง เริ่มมีผู้คนยอมรับเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนมากขึ้น รัฐอาจออกข้อกำหนดเข้าควบคุมมันและทำให้มันกลายเป็นสกุลเงินขึ้นมา รัฐอาจออกมาตรฐานเช่นเหรียญกษาปณ์และแบงค์ขึ้นมาเพื่อให้สะดวกแก่การทำธุรกรรมในสังคมนั้นๆ
รัฐบาลอาจยอมรับสื่อกลางบางประเภท ว่าเป็นเงินที่ถูกกฎหมาย หมายความว่าศาลและหน่วยงานของรัฐต้องยอมรับเงินรูปแบบนั้นเป็นวิธีการชำระธุรกรรมทางบัญชีได้
การออกเงินทำให้รัฐบาลได้รับประโยชน์ทางบัญชี จาก ผลต่างระหว่างมูลค่าของสื่อกลาง (Face value) กับต้นทุนของสื่อกลางที่ใช้ผลิตมัน (seigniorage) ผลต่างระหว่างมูลค่า หากมันเป็นบวกจะถูกบันทึกว่ารัฐมีกำไรจากการพิมพ์เงิน
ตัวอย่างเช่น หากค่าใช้จ่ายในการพิมพ์แบงค์ 100 ดอลลาร์ มีต้นทุนเพียง 10 ดอลลาร์ รัฐบาลจะได้รับกำไร 90 ดอลลาร์สำหรับการพิมพ์แบงค์แต่ละใบ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลที่พึ่งพา seigniorage มากเกินไปอาจทำให้ค่าเงินของประเทศด้อยค่าลงอย่างรุนแรง
- สกุลเงินกระดาษ (Fiat Currency)
หลายประเทศออกสกุลเงิน fiat ซึ่งเป็นสกุลเงินที่ไม่ได้เป็นตัวแทนของสินค้าประเภทใด ๆ เงินเฟียตจะอ้างอิงมูลค่าจากความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของรัฐบาลผู้ออกบัตรแทน อีกนัยหนึ่งมันขึ้นอยู่กับอุปสงค์ อุปทานและความมั่นคงของรัฐบาล
Fiat ช่วยให้รัฐบาลที่ออกนโยบายดำเนินนโยบายเศรษฐกิจลักษณะต่างๆ โดยการเพิ่มหรือลดปริมาณเงิน ในสหรัฐอเมริกา Federal Reserve และกระทรวงการคลังจะเป็นผู้กำหนดอุปทานของ Fiat คอยตรวจสอบควบคุมและดัดแปลงเพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับการเงินของประเทศ
เนื่องจาก fiat ไม่ได้เป็นตัวแทนของสินค้าที่มีมูลค่าอยู่จริง มูลค่าของมันจึงขึ้นอยู่กับรัฐบาลผู้ออกที่ต้องทำให้แน่ใจว่ามันมีคุณสมบัติตรงตามคุณสมบัติของเงินห้าประการที่ระบุไว้ข้างต้น
- สื่อกลางทดแทนเงินต่างๆ (Money Substitutes)
เพื่อลดภาระในการขนเงินจำนวนมาก บางครั้งพ่อค้าและผู้ค้าแลกเปลี่ยนเงินทดแทน เช่น ใบแจ้งยอดหนี้ที่สามารถไถ่ถอนได้ในภายหลัง บันทึกบัญชีเหล่านี้สามารถนำคุณสมบัติบางอย่างของเงินมาใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ค้าใช้แทนสกุลเงินจริง
การใช้สื่อทดแทนนี้สามารถเพิ่มความสามารถในการพกพาและความทนทานรวมทั้งลดต้นทุนในการจัดเก็บ อย่างไรก็ตาม สื่อทดแทนมีความเสี่ยง เช่น ธนาคารอาจพิมพ์ตั๋วเงินมากกว่าที่ทุนสำรอง (Fractional-reserve banking) หากมีคนพยายามถอนเงินพร้อมกันจำนวนมากเกินไป ธนาคารอาจประสบปัญหาสภาพคล่องและอาจมีการผิดชำระหนี้ได้
- เงินดิจิตอล (Cryptocurrency)
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีนวัตกรรมสกุลเงินดิจิทัลที่เป็นนามธรรมโดยสมบูรณ์ อย่าง Bitcoin มันแตกต่างจากบันทึกของธนาคารอิเล็กทรอนิกส์หรือระบบการชำระเงินประเภทอื่นๆ เพราะมันไม่ได้ออกโดยรัฐบาลหรือหน่วยงานจากกลางอื่นๆ Cryptocurrencies มีคุณสมบัติของเงินที่ดีและบางครั้งก็ใช้ในการทำธุรกรรมออนไลน์
แม้ว่าในปัจจุบัน cryptocurrencies จะไม่ค่อยถูกใช้ในการทำธุรกรรมในชีวิตประจำวัน แต่มันก็มีประโยชน์ในบางด้าน เช่นการลงทุนเพื่อเก็งกำไรหรือในบางกรณีก็สามารถเป็นสินทรัพย์ที่รักษาความมั่งคั่งได้ ในขอบเขตกฎหมายของบางประเทศเริ่มยอมรับให้ cryptocurrencies เป็นสื่อกลางในการชำระเงินอย่างถูกกฎหมายแล้ว เช่น รัฐบาลของเอลซัลวาดอร์
สรุป
เงินเป็นสิ่งของมีค่าที่ช่วยให้ผู้คนและสถาบันต่างๆ สามารถทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนสินค้าหรือบริการได้ เงินจะต้องสามารถแลกเปลี่ยนได้ สะดวกในการพกพา และทุกคนในสังคมนั้นยอมรับว่าถูกต้องตามกฎหมาย มีอายุยืนยาว และมีมูลค่าที่มั่นคงในการรักษาความมั่งคั่งในอนาคต
มันอาจมาในรูปแบบต่าง ๆ เช่น โลหะมีค่า สกุลเงิน และสื่อกลางทดแทน ในเวลานี้ แม้ว่า cryptocurrencies จะมีคุณสมบัติบางอย่างของการเป็นเงิน แต่มันทำงานโดยไม่มีอำนาจจากส่วนกลางและยังไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล แต่ในแง่หนึ่งมันอาจเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนที่ดีที่ถูกกำหนดโดยตลาดอย่างเป็นเอกเทศ (Market-determined Money)
ข้อจำกัดความรับผิด
หมายเหตุบรรณาธิการ: เนื้อหาต่อไปนี้ไม่ได้สะท้อนถึงมุมมองหรือความคิเห็นของ BeInCrypto มันจัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้นและไม่ควรถูกตีความว่าเป็นคำแนะนำทางการเงิน กรุณาทำการวิจัยของคุณเองก่อนที่จะทำการตัดสินใจลงทุนใดๆ