ขณะนี้ Binance กำลังลอยไปตามคลื่น FUD (Fear, Uncertainty, Doubt หรือ ความกลัว, ความไม่แน่นอน, ความสงสัย) หลังจากที่กระดานเทรดต้องเผชิญหน้ากับความขัดแย้งมากมาย รวมไปถึงการถูกสอบสวนเรื่องการฟอกเงินที่อาจจะเกิดขึ้นและการถอนเงินออกของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ด้วยข่าวลือในเรื่องเกี่ยวกับการเงินที่เลวร้าย กระดานเทรด Crypto ที่ใหญ่ที่สุดในโลกรายนี้เริ่มที่จะสร้างความกังวลให้กับอุตสาหกรรม
พฤติกรรมส่วนตัวของ Changpeng Zhao “CZ” ก็ทำให้เกิดความกังวลเช่นกัน ในทวีตเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม CZ กล่าวถึงรายงาน Proof-of-Reserves ล่าสุดของพวกเขาว่าเป็น “หลักฐานของเงินสำรองที่ได้รับการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว” นอกจากนี้ เขายังได้บอกเป็นนัยว่ารายงานนี้มี “ความโปร่งใส” ถึงแม้ว่ารายงานดังกล่าวจริงๆ แล้วจะไม่โปร่งใสหรือไม่ใช่การตรวจสอบบัญชีจริงๆ ก็ตาม รายงานข่าวเรื่องจำนวนการถอนเงินของผู้ใช้งานที่เพิ่มมากขึ้นและการสอบสวนเรื่องการฟอกเงินที่อาจจะเกิดขึ้นยิ่งทำให้มีแต่ความกังวลเพิ่มขึ้นเท่านั้น
ไม่ใช่แค่นักเทรดและผู้ใช้งาน Binance เท่านั้นที่กังวลเกี่ยวกับการล่มสลายของพวกเขา บริษัทนี้ซึ่งถือเป็นบริษัทกระดานเทรดที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมได้อย่างง่ายดาย ด้วยปริมาณการซื้อขายที่ 7.7 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2021 และปริมาณการซื้อขายกว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ถึงแม้ว่ามันจะยังไม่มีสัญญาณใดๆ ที่จะบ่งบอกถึงการล่มสลายของบริษัท แต่เรื่องในวงสนทนาก็เปลี่ยนไปเป็นเรื่องที่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากมันล่มสลาย? และมันดูไม่ค่อยจะดีเลย
Binance ‘ใหญ่เกินกว่าที่จะล้ม’ หรือไม่?
ในปี 2008 ทั่วทั้งโลกต้องเฝ้าดูระบบธนาคารทั่วโลกเกือบจะล่มสลายเนื่องจากการล่มสลายของสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลกบางแห่ง รัฐบาลต้องเข้ามาช่วยเหลือพวกเขาเพื่อหยุดผลกระทบต่อเนื่องที่คุกคามเศรษฐกิจทั้งหมด สิ่งนี้ได้นำไปสู่คำนิยามที่ว่า “ใหญ่เกินกว่าที่จะล้ม”
หากบริษัท “ใหญ่เกินกว่าที่จะล้ม” แปลว่าการล่มสลายของมันจะทำลายล้างระบบเศรษฐกิจลง ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลหรืออุตสาหกรรมโดยรอบเชื่อว่าความพยายามใดๆ ที่จะกอบกู้บริษัทเหล่านี้นั้นจะสร้างความเสียหายน้อยกว่การปล่อยให้บริษัทล้มลงไป กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ หากบริษัทเหล่านี้ล้มละลายและทรัพย์สินของบริษัทถูกชำระบัญชี จำนวนเงินที่เหลืออยู่จะไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ต่างๆ ได้
ตัวอย่างเช่น หากบริษัทนี้เป็นธนาคารเพื่อการลงทุน ลูกค้าของบริษัทจะไม่ได้รับเงินคืนอย่างแน่นอน ซึ่งหากสิ่งนี้เกิดขึ้น มันอาจจะนำไปสู่ผลกระทบที่อาจจะทำให้ธนาคารอื่นๆ ต้องเลิกกิจการและก่อให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ได้
ในกรณีของ Binance นั้น การล่มสลายใดๆ จะไม่เพียงแค่สร้างความเสียหายต่อเงินฝากของผู้ใช้งานเท่านั้น แต่เนื่องจากขนาดและความเป็นศูนย์กลางของมัน การล่มสลายใดๆ จะคุกคามความเชื่อมั่นของอุตสาหกรรมโดยรวม นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากอาจจะรู้สึกกลัว Crypto ไปโดยสิ้นเชิง และนักลงทุนสถาบันจะย้ายเงินสดไปยังอุตสาหกรรมที่สเถียรกว่าและปลอดภัยกว่า
Binance ไม่ใช่ธนาคาร ถึงแม้ว่ามันจะทำหน้าที่เหมือนธนาคารก็ตาม
ก่อนอื่น สิ่งสำคัญคือที่ต้องเข้าใจก่อนเลยก็คือ กระดานเทรดแบบรวมศูนย์เช่น Binance นั้นไม่ใช่ธนาคาร ไม่เหมือนกับสถาบันการเงินแบบดั้งเดิม กระดานเทรด Crypto ไม่ได้ถูกถักทอเข้าไปสู่ในระบบเศรษฐกิจที่กว้างกว่า ทำให้มันเสี่ยงเชิงระบบน้อยกว่าต่อระบบการเงินโดยรวม
อย่างไรก็ตาม จากการที่พวกเขาถือเงินของผู้ใช้งานไว้เป็นจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์ การล่มสลายของพวกเขาจะส่งผลกระทบต่อส่วนอื่นๆ ของอุตสาหกรรม ซึ่งดูเหมือนว่า CZ จะเข้าใจในสิ่งนี้ โดยทำการพิจารณา(ในช่วงสั้นๆ)เพื่อที่จะช่วยเหลือ FTX ที่ล่มสลายไปเดือนที่แล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน Binance ได้นำเสนอ “Industry Recovery Initiative” (กองทุนฟื้นฟูอุตสาหกรรม) Industry Recovery Initiative (IRI) นี้จะให้ความช่วยเหลือกับบริษัทที่ประสบกับปัญหาที่ไม่ได้เกิดมาจากความผิดของพวกเขาเอง ที่น่าเป็นห่วงก็คือการที่ Binance มีสถานะเหมือนเป็นธนาคารกลางหรือผู้ให้กู้ที่เป็นทางเลือกสุดท้าย ซึ่งหากตีความในเชิงการกุศลก็คือการที่อุตสาหกรรมมีการป้องกันความผิดพลาดเช่นนี้จะมีประโยชน์กับทุกคน Binance ก็เพียงพยายามที่จะรักษาเสถียรภาพของอุตสาหกรรมที่พวกเขามีบทบาทสำคัญอยู่ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องดีต่อพวกเขา จริงไหม?
แน่นอนว่า ด้วยมุมมองที่อาจจะดูไม่ค่อยดีนักคือ สถานะนี้ทำให้ Binance ดูมีเสถียรภาพมากขึ้น ทำไมบริษัทที่มีฐานะการเงินไม่ดีถึงจะกล้ารับบทสำคัญนี้หล่ะ? แต่จะไม่ว่าในด้านใดก็ตาม นี่ทำให้การล่มสลายของ Binance แย่ยิ่งขึ้นไปอีกเป็นอย่างมาก ในกรณีที่เกิดการล่มสลาย แล้วใครจะเป็นผู้ช่วยเหลือ Binance หล่ะ?
เมื่อพิจารณาในเรื่องการขาดการเปิดรับเศรษฐกิจในวงกว้าง – และความเห็นที่หลากหลายของนักการเมืองเกี่ยวกับ Crypto – มันคงจะไม่ใช่รัฐบาล
“BNB ไม่ใช่ FTT” สาวกของ Binance กล่าวเช่นนั้น
ผลลัพท์ของ FUD ที่มีต่อ Binance ที่ตามมา ผู้สังเกตการณ์หลายคนได้ทำการเปรียบเทียบระหว่างโทเค็นดั้งเดิมของ Binance, Binance Coin (BNB) และโทเค็น FTX (FTT) ตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน ราคาของ BNB เมื่อเทียบกับ USD มันได้ลดลงประมาณ 13% เหลือประมาณ 273 ดอลลาร์
FTT เป็นโทเค็นที่ออกโดย FTX กระดานเทรดที่ล่มสลายของ Sam Bankman-Fried บริษัทสัญญาว่าจะมอบสิทธิประโยชน์ให้มากมาย และในช่วงเวลาหนึ่ง โทเค็นของพวกเขาเป็นแหล่งรายได้มหาศาลสำหรับกระดานเทรด แต่ FTX ก็แอบทำให้มูลค่าของโทเค็นนั้นสูงเกินจริงและใช้มันเป็นหลักประกันสำหรับเงินกู้ ถ้าจะให้พูดง่ายๆ ก็คือพวกเขาเอาเงินปลอมไปแลกเงินจริงๆ ซึ่งสถานกาณณ์ดังกล่าวมันจะคงอยู่ได้ก็ต่อเมื่อนักลงทุนยังเชื่อมั่นใน FTT
เพราะรายงานของ Ian Allison จาก CoinDesk ในเดือนพฤศจิกายน CZ ได้ประกาศว่าจะทำการเทขาย FTT ทั้งหมดในบัญชีของเขา แค่เพียงเรื่องนี้เรื่องเดียวก็เป็นการกระตุ้นให้เกิดการเทขาย FTT จำนวนมาก รวมไปถึงการถอนเงินกว่า 6 พันล้านดอลลาร์ออกจากกระดานเทรด FTX ใน 72 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม — แตกต่างจาก FTT — BNB นั้นไม่ได้เป็นเพียงโทเค็นที่ใช้ซื้อขาย แต่เป็นโทเค็นที่ใช้เป็นค่าแก๊สสำหรับ Binance Smart Chain (BSC) มันไม่เพียงแต่ให้ประโยชน์ต่อโทเค็นที่ใช้ซื้อขายทั่วไป อย่างเช่นการลดค่าธรรมเนียมการซื้อขายลง แต่ยังเป็นโทเค็นหลักสำหรับบล็อกเชนเลเยอร์ 1 ที่ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับ 3 ของโลกอีกด้วย เพราะฉะนั้น ประโยชน์ของมันไม่เท่ากัน และต่างจาก FTT คือ BNB ไม่ได้ถูกยืมไปยังที่ไหน – เหมือนที่เรารู้จาก FTX หลังจากการล่มสลายของ FTX CZ กล่าวว่า: “อย่าใช้โทเค็นที่คุณสร้างขึ้นเพื่อเป็นหลักประกัน”
ข้อจำกัดความรับผิด
หมายเหตุบรรณาธิการ: เนื้อหาต่อไปนี้ไม่ได้สะท้อนถึงมุมมองหรือความคิเห็นของ BeInCrypto มันจัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้นและไม่ควรถูกตีความว่าเป็นคำแนะนำทางการเงิน กรุณาทำการวิจัยของคุณเองก่อนที่จะทำการตัดสินใจลงทุนใดๆ