ในขณะที่การปรับ “อัตราดอกเบี้ย” นโยบายของ FED ยังคงมีแนวโน้มที่สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยล่าสุดแตะที่ 5.5% แล้ว สิ่งนี้สร้างแรงกฎดันต่อหนี้สาธารณะและอาจต้องมีการทำ QE อีกครั้ง นับเป็นปัจจัยบวกต่อ Bitcoin
นักวิเคราะห์หลายๆ คนมองว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยจะส่งผลให้วิกฤตเพดานหนี้ย้ำแย่ลงไปอีก แม้ว่าจะยกเพดานหนี้ไปแล้วก่อนหน้านี้ก็ตาม “รัฐบาลสหรัฐต้องใช้หนี้ในอัตราที่สูงขึ้น แต่ธนาคารกลางสหรัฐจะจ่ายไหวหรือไม่หากพวกเขาไม่พิมพ์เงินเพิ่ม (QE)”
ปัญหาเรื่องหนี้ในสหรัฐ
Joe Consorti นักวิเคราะห์ กล่าวว่ารัฐบาลสหรัฐฯ กำลังจ่ายดอกเบี้ย 970,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งเพิ่มขึ้น 41,000 ล้านดอลลาร์จากไตรมาสที่ 2 นั่นเป็นดอกเบี้ยจ่ายที่สูงที่สุดตลอดกาล ในขณะที่ในไตรมาสที่ 1 ปี 2022 มีดอกเบี้ยมูลค่าเพียง 600 พันล้านดอลลาร์ เท่านั้น
Consorti คาดว่าต้นทุนดอกเบี้ยจะสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ในไม่ช้า นั่นคือมากกว่า 20% ของรายรับจากภาษีของรัฐบาลกลางที่มีมูลค่า 4.7 ล้านล้านดอลลาร์ อ้างอิงจาก US Debt Clock
การคง อัตราดอกเบี้ยที่สูง เป็นผลบวกต่อ Bitcoin
นอกจากนี้ ในเดือนมิถุนายน St. Louis Fed ตีพิมพ์บทความที่ระบุความกังวลเกี่ยวกับการคงดอกเบี้ยในอัตราที่สูงเป็นระยะเวลานานว่า
“อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงเป็นระยะเวลานาน จะทำให้สัดส่วนของหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ในท้องตลาดของสหรัฐถูกทบต้นในอัตราที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ภาระการจ่ายดอกเบี้ยของรัฐบาลถูกทบมากขึ้นเรื่อยๆ”
ดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นบ่งชี้ว่าธนาคารกลางอาจจำเป็นต้องอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอีกครั้งเพื่อให้เศรษฐกิจดำเนินต่อไปได้ สิ่งนี้น่าจะเป็นปัจจัยบวกสำหรับสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึง BTC ซึ่งอาจเป็น Safe Haven เพราะมีอุปทานคงที่โดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ แตกต่างจากการพิมพ์เงินเพิ่มที่ทำให้ดอลลาร์เสื่อมค่าลง อย่างไรก็ตาม FED เคยคาดการณ์ไว้ว่าเพดานอาจจะอยู่ที่ 5.5 -5.75% และยังไม่แน่ชัดว่าจะคงดอกเบี้ยไว้นานเท่าใด
ข้อจำกัดความรับผิด
หมายเหตุบรรณาธิการ: เนื้อหาต่อไปนี้ไม่ได้สะท้อนถึงมุมมองหรือความคิเห็นของ BeInCrypto มันจัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้นและไม่ควรถูกตีความว่าเป็นคำแนะนำทางการเงิน กรุณาทำการวิจัยของคุณเองก่อนที่จะทำการตัดสินใจลงทุนใดๆ