จากการกระทำ “แบบ JPMorgan” ครั้งล่าสุด หน่วยงานซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของ FTX อยู่ระหว่างการเข้าถือหุ้น 30% ใน SkyBridge Capital ของ Anthony Scaramucci ซึ่งประสบปัญหาทางการเงินเมื่อไม่นานมานี้
“หลังจากทํางานร่วมกับ Anthony และทีมของเขา หลังจากการประชุมด้านความร่วมมือ SALT เราเห็นว่ามีโอกาสที่จะทํางานร่วมกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้นในรูปแบบที่สามารถเติมเต็มธุรกิจของเราทั้งสองได้” Bankman-Fried กล่าวในการแถลงการณ์ “เราหวังว่าจะได้ร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ SkyBridge ในกิจกรรมการลงทุนคริปโต และยังจะทํางานร่วมกับพวกเขาในการลงทุนที่ไม่เกี่ยวข้องกับคริปโตซึ่งก็ดูเป็นไปได้เช่นกัน
บริษัทหลายแห่งกล่าวว่าเงินทุนส่วนหนึ่งจะถูกใช้เพื่อซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลมูลค่า 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อคงไว้ซึ่งงบดุลของ SkyBridge “ในฐานะการลงทุนระยะยาว”
FTX ซึ่งก่อตั้งและบริหารโดย Sam Bankman-Fried ถูกมองว่าเป็น “JPMorgan” แห่งโลกคริปโตเคอเรนซีที่คอยเข้าไปช้อนซื้อบริษัทคริปโตในช่วง Crypto Winter ที่ยืดเยื้อ
FTX ให้เครดิต 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐแก่ BlockFi ซึ่งเป็นหน่วยงานสินเชื่อคริปโตในเดือนมิถุนายน และได้ซื้อ Bitvo แพลตฟอร์มการซื้อขายสินทรัพย์คริปโตของแคนาดาเช่นเดียวกัน
Alameda ซึ่งเป็นบริษัทอีกแห่งที่ Sam Bankman-Fried เป็นเจ้าของนั้นมอบข้อเสนอการเข้าซื้อกิจการ Voyager Digital ซึ่งเป็นโบรกเกอร์คริปโตที่ประสบปัญหาการเงินเช่นเดียวกัน
ไตรมาสแห่งปัญหาของ SkyBridge
Anthony Scaramucci เป็นอดีตผู้อํานวยการฝ่ายสื่อสารของทําเนียบขาวให้กับ Donal Trump ประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐอเมริกาโดยเขาดํารงตําแหน่งนี้เพียง 11 วัน นอกจากนี้ เขายังเคยทำงานที่ Goldman Sachs และ Lehman Brothers
เขาเปิดตัว SkyBridge Capital ในปี 2005 ในฐานะบริษัทการลงทุน “ที่เชี่ยวชาญด้านโซลูชันกองทุนป้องกันความเสี่ยงและเครื่องมือสำหรับการแสวงหาโอกาสในการลงทุน” และได้ลงทุนในเงินดิจิทัลเป็นส่วนใหญ่
กองทุนแห่งนี้พบว่าตนประสบปัญหาทางการเงินในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ ในเดือนกรกฎาคม 2022 SkyBridge ต้องหยุดให้บริการเบิกถอนเงินจากหนึ่งในกองทุนของตน
ทาง Legion Strategies ซึ่งมีสินทรัพย์ 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐและยังเคยติดต่อกับ FTX อีกด้วย แต่การร่วมทุนครั้งสำคัญของ SkyBridge ซึ่งเป็นพอร์ตการลงทุนกองทุนป้องกันความเสี่ยงที่ปรึกษาแบบหลากหลายพอร์ตโฟลิโอ SkyBridge ยังคงมีมีปัญหาในการรักษาลูกค้าเช่นกัน กล่าวคือ ผลิตภัณฑ์แฟลกชิพรายนี้จัดการเงินจำนวน 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนมีนาคมปีนี้ และสูญเสียรายได้เกือบหนึ่งในสี่ในไตรมาสที่สอง และในขณะนี้ เหล่านักลงทุนต่างมองหาหนทางที่จะถอนเงิน 890 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากแพลตฟอร์มดังกล่าว
เงินจากข้อตกลงซื้อขายกิจการของ FTX จะถูกใช้เพื่อชําระนักลงทุน
แม้จะมีแนวโน้มขาลงในในตลาดคริปโตปัจจุบัน แต่กองทุนแฟล็กชิพรายนี้ธงยังคงถือครอง 22% จากสินทรัพย์และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เมื่อเร็ว ๆ นี้ Scaramucci กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ DealBook ว่าพนักงานในบริษัทของเขายังคงรู้สึกมั่นใจศักยภาพของเทคโนโลยีบล็อกเชน
“ผมไม่ได้ฉลาดขนาดที่จะมานั่งวิเคราะห์แต่ละช่วงของตลาด แต่เราได้ทําการวิจัยมาหลายครั้งมากและเราคิดว่าใครก็ตามที่เคยศึกษาตลาดมาแล้วย่อมเห็นว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนนั้นมีคุณภาพและจะกลายเป็นอนาคตด้านการเงิน”
คลิกที่นี่เพื่ออ่านบทวิเคราะห์ Bitcoin (BTC) ล่าสุดของ Be[In]Crypto
ข้อจำกัดความรับผิด
หมายเหตุบรรณาธิการ: เนื้อหาต่อไปนี้ไม่ได้สะท้อนถึงมุมมองหรือความคิเห็นของ BeInCrypto มันจัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้นและไม่ควรถูกตีความว่าเป็นคำแนะนำทางการเงิน กรุณาทำการวิจัยของคุณเองก่อนที่จะทำการตัดสินใจลงทุนใดๆ
