ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คริปโตเคอร์เรนซี่ (Cryptocurrency) และสินทรัพย์ดิจิทัลต่างๆ นั้นได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลให้ผู้คนต่างเริ่มมองหาเครื่องมือที่จะช่วยให้พวกเขาจัดเก็บสินทรัพย์ของพวกเขาได้อย่างปลอดภัย ในบทความนี้ เราจะมาดูรายชื่อของ “9 กระเป๋าเงินคริปโต (Crypto Wallet) หรือ กระเป๋าสตางค์ดิจิตอล ที่ดีที่สุดในปี 2023” ที่สามารถใช้งานได้ง่าย, ปลอดภัย และอัดแน่นไปด้วยฟีเจอร์ต่างๆ มากมาย
- กระเป๋าเงินคริปโต (Crypto Wallet) คืออะไร?
- กระเป๋าสตางค์ดิจิตอล ใช้งานอย่างไร?
- วิธีการเลือกใช้งานกระเป๋าเงินคริปโต
- กระเป๋าเงินคริปโต (Crypto Wallet) ที่ดีที่สุดในปี 2023
- 1. Exodus
- 2. Trezor
- 3. Ledger
- 4. SafePal
- 5. Guarda
- 6. Electrum
- 7. Trust Wallet
- 8. Coinbase Wallet
- 9. MetaMask
- กระเป๋าเงินคริปโต (Crypto Wallet) แบบไหนที่ดีที่สุดสำหรับคุณ?
- คำศัพท์ทางเทคนิคในบทความ
ต้องการข้อมูลหรือรีวิวต่างๆ เกี่ยวกับกระเป๋าเงินคริปโตยอดนิยมหรือไม่?
อ่านรีวิวใหม่ๆ พูดคุยกันเรื่องกระเป๋าเงินคริปโต และสอบถามข้อมูลต่างๆ ที่คุณต้องการจากนักเทรดมืออาชีพ! มาเข้าร่วม BeInCrypto Trading Community บน Telegram กันเลย!
กระเป๋าเงินคริปโต (Crypto Wallet) คืออะไร?
กระเป๋าเงินคริปโต หรือ Crypto Wallet หรือ กระเป๋าสตางค์ดิจิตอล คือ อุปกรณ์ (ฮาร์ดแวร์) หรือแอปพลิเคชั่น (ซอฟต์แวร์) ที่เราใช้เพื่อเก็บรักษาคริปโตเคอร์เรนซี่และสินทรัพย์ดิจิทัลของเราอย่างปลอดภัย
นอกจากนี้ กระเป๋าเงินคริปโต ยังมีประโยชน์การใช้งานอื่นๆ ดังนี้
- ใช้ในการจัดการสินทรัพย์ดิจิทัล: กระเป๋าเงินคริปโตนั้นจะช่วยให้เราสามารถจัดการหรือตรวจสอบสินทรัพย์ของเราได้
- ใช้ในการทำธุรกรรมต่างๆ: กระเป๋าเงินคริปโตบางตัวสามารถช่วยให้เราทำการซื้อขายคริปโตได้ด้วยเช่นกัน
- ใช้ในการเชื่อมต่อกับ DApps: กระเป๋าเงินคริปโตเป็นสิ่งที่จำเป็นที่ใช้สำหรับเชื่อมต่อและโต้ตอบกับ Web3 DApps
พูดให้เข้าใจง่ายๆ หลักการทำงานของกระเป๋าเงินคริปโตนั้นก็คือการใช้มันเพื่อไว้รับ, ส่ง และจัดการสินทรัพย์ดิจิทัลหรือคริปโตของคุณ
กระเป๋าสตางค์ดิจิตอล ใช้งานอย่างไร?
ถึงแม้ว่ามันจะถูกเรียกว่า กระเป๋าเงินคริปโต แต่อันที่จริงแล้ว ลักษณะการทำงานของกระเป๋าเงินเหล่านี้จะเป็นการเก็บรักษา Private Key ของเราที่ใช้สำหรับเข้าถึงสินทรัพย์ของเราที่อยู่ในระบบบล็อกเชน ไม่ใช่การเก็บสินทรัพย์ของเราเอาไว้โดยตรง ซึ่งจะมีองค์ประกอบหลักๆ อยู่ 2 อย่างคือ:
- Public Key (คีย์สาธารณะ): เปรียบเสมือน “หมายเลขบัญชีธนาคาร” ที่เราสามารถบอกให้คนอื่นทราบได้เพื่อการรับหรือส่งสินทรัพย์คริปโต
- Private Key (คีย์ส่วนตัว): เปรียบเสมือน “รหัสผ่านหรือ PIN ของบัญชีธนาคาร” ที่เจ้าของกระเป๋าเงินจะต้องใช้เมื่อทำธุรกรรมใดๆ เพื่อเคลื่อนย้ายสินทรัพย์ออกจากกระเป๋าเงิน และเราควรจะเก็บมันไว้ให้เป็นความลับ/เป็นส่วนตัว (Private; เหมือนกับชื่อของมัน) เพื่อความปลอดภัยของสินทรัพย์ของคุณ
วิธีการเลือกใช้งานกระเป๋าเงินคริปโต
ในการเลือกใช้งานกระเป๋าเงินคริปโตนั้น มันมีปัจจัยสำคัญบางอย่างที่คุณควรจะนำไปประกอบการพิจารณาในการเลือกใช้งานดังนี้:
- ความปลอดภัย: สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเลือกใช้งานกระเป๋าเงินคริปโต คือ ควรเลือกกระเป๋าเงินที่มีระบบการรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง ตัวอย่างเช่น 2FA หรือ MFA (การยืนยันตัวตนแบบ 2 ปัจจัยหรือหลายปัจจัย) หรือ Multi-Signature (กำหนดให้มีการใช้คีย์อย่างน้อย 2 คีย์ขึ้นไปจึงจะสามารถทำธุรกรรมใดๆ ได้) อีกทั้ง ควรจะสามารถตั้งค่าการปลดล็อกด้วยการจดจำใบหน้าหรือลายนิ้วมือของคุณได้ เพื่อความปลอดภัยสูงสุดในกรณีที่ Hardware Wallet อาจจะสูญหาย
- ชื่อเสียง: ชื่อเสียงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ค่อนข้างสำคัญในการเลือกใช้งานกระเป๋าเงินคริปโต ยิ่งผู้ให้บริการกระเป๋าเงินคริปโตรายนั้นๆ มีชื่อเสียง(ที่ดี)มากเท่าใด มันยิ่งช่วยให้คุณมั่นใจในการเลือกใช้งานได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น คุณยังสามารถตรวจสอบจากรีวิวการใช้งานของผู้ใช้งานรายอื่นๆ เพื่อดูว่าพวกเขาพูดถึงมันว่าอย่างไรบ้างได้เช่นกัน
- คริปโตเคอร์เรนซี่ที่รองรับ: หากคุณวางแผนที่จะถือคริปโตเคอร์เรนซี่มากกว่าหนึ่งตัว การเลือกใช้งานกระเป๋าเงินคริปโตที่รองรับหลายสกุลเงินนั้นก็เป็นสิ่งที่จำเป็น ยิ่งกระเป๋าเงินของคุณรองรับสกุลเงินดิจิทัลได้หลากหลาย คุณก็จะสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นในการวางแผนการลงทุนและการจัดเก็บมันในอนาคต
- ราคา: ถึงแม้ว่ากระเป๋าเงินคริปโต (ที่เป็นซอฟต์แวร์แอปพลิเคชั่น) ส่วนใหญ่จะดาวน์โหลดมาใช้งานได้ฟรี แต่กระเป๋าเงินบางประเภท เช่น กระเป๋าเงินฮาร์ดแวร์ (Hardware Wallet) ก็จะมีราคาที่ค่อนข้างสูง และถ้าหากคุณต้องการจะถือคริปโตไว้เป็นระยะเวลานานหรือถือไว้เป็นจำนวนมาก แนะนำให้คุณพิจารณาในการเลือกใช้งานกระเป๋าเงินฮาร์ดแวร์ ซึ่งจะมีความปลอดภัยมากกว่ากระเป๋าเงินแบบซอฟต์แวร์
- ความสะดวกในการใช้งาน: อีกปัจจัยหลักของการเลือกใช้งานกระเป๋าเงินคริปโตคือมันควรจะมอบความสะดวกสบายในการใช้งานให้กับคุณ ไม่ว่าจะเป็นอินเตอร์เฟสที่ใช้งานได้ง่ายและเป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน หรือ สามารถเข้าถึงได้จากทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์หรือแพลตฟอร์มใดๆ ก็ตาม
กระเป๋าเงินคริปโต (Crypto Wallet) ที่ดีที่สุดในปี 2023
1. Exodus
Exodus หนึ่งในกระเป๋าเงินคริปโตที่ดีที่สุดสำหรับเดสก์ท็อปจากความรวดเร็วในการทำธุรกรรม ใช้งานได้ง่าย และมีฟังก์ชั่นการทำงานที่หลากหลาย พวกเขาเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2016 และยังคงเป็นหนึ่งในกระเป๋าเงินคริปโตแบบเดสก์ท็อปที่ได้รับความนิยมมาจนถึงทุกวันนี้
ข้อดี
- รองรับสกุลเงินดิจิทัลกว่า 260 รายการ
- รองรับ NFTs
- สามารถใช้งานร่วมกับ Trezor ได้ (ด้วยการติดตั้งแอป Trezor Bridge และเชื่อมต่อมันเข้ากับ Exodus Wallet)
- มีการสนับสนุนลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง ทุกวัน
- สามารถใช้งานได้ทั้งบนเดสก์ท็อปและมือถือ
- ผสานรวมฟังก์ชั่นการซื้อ-ขายในตัว
ข้อเสีย
- ไม่ใช่โอเพ่นซอร์สแบบเต็มรูปแบบ
- ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย (ผ่านฟังก์ชั่นการซื้อขายที่อยู่ในกระเป๋าเงิน) ค่อนข้างสูง
ราคา
- Exodus (ดาวน์โหลดใช้งานได้ฟรี) : กระเป๋าเงินคริปโตของ Exodus นั้นสามารถดาวน์โหลดและใช้งานได้ฟรี ทั้งในรูปแบบของเดสก์ท็อป, มือถือ และส่วนขยายสำหรับเว็บเบราเซอร์
2. Trezor
Trezor เป็นกระเป๋าเงินฮาร์ดแวร์ (Hardware Wallet) ชั้นนำที่จะช่วยให้คุณจัดเก็บ Bitcoin หรือคริปโตอื่นๆ ของคุณได้อย่างสะดวกสบายและปลอดภัย ด้วยคุณสมบัติการรักษาความปลอดภัยขั้นสูง, การจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบออฟไลน์ และการรองรับคริปโตกว่า 1,400 รายการ Trezor ได้กลายเป็นหนึ่งในกระเป๋าเงินแบบ Cold Storage ที่มีความปลอดภัยมากที่สุด ณ ปัจจุบัน
ข้อดี
- สามารถเข้าถึงการใช้งานกระดานเทรดและ DApps ของ 3rd-Party ได้มากมาย
- รองรับสกุลเงินดิจิทัลกว่า 1,400 รายการ
- เป็น Hardware Wallet ที่มีขนาดกระทัดรัด พกพาได้สะดวก
- มี UI ที่เรียบง่ายและใช้งานได้ง่ายสำหรับมือใหม่
- มี Live Chat Support
ข้อเสีย
- หน้าจอมีขนาดเล็ก
- ราคาค่อนข้างสูง
ราคา
- Trezor Model One (ราคา 69 ดอลลาร์) : กระเป๋าเงินรุ่นแรกจาก Trezor เหมาะสำหรับผู้ใช้งานมือใหม่
- Trezor Model T (ราคา 219 ดอลลาร์) : กระเป๋าเงินรุ่นใหม่ที่มีการอัพเกรดเพิ่มเติมจากรุ่นแรก อัดแน่นไปด้วยฟีเจอร์การป้องกันต่างๆ มากยิ่งขึ้น
3. Ledger
Ledger เป็นหนึ่งใน Hardware Wallet ที่ได้รับการรับรองแล้วว่ามีความปลอดภัยในระดับสูงสุดในแวดวงคริปโต ด้วย UI ที่เป็นมิตรกับผู้ใช้งาน ทำให้มันสามารถใช้งานได้อย่างง่ายดาย Ledger รองรับการจัดเก็บโทเค็นและเหรียญต่างๆ กว่า 5,000 รายการ รวมทั้งยังสามารถทำการซื้อขาย รวมถึงจัดการสินทรัพย์ดิจิทัลต่างๆ ผ่านแอป Ledger Live ได้อีกด้วย
ข้อดี
- ใช้งานได้ในหลายๆ แพลตฟอร์ม (Windows, MacOS, Android, iOS)
- รองรับสกุลเงินดิจิทัลกว่า 5,000 รายการ
- รองรับการจัดเก็บ NFTs
- รองรับการเชื่อมต่อแบบบลูทูธ
- สามารถติดตั้งแอปได้มากกว่า 100 แอป
- พกพาสะดวก
ข้อเสีย
- ราคาค่อนข้างสูง
- ไม่ใช่โอเพ่นซอร์สแบบเต็มรูปแบบ (อาจจะมีความโปร่งใสและความปลอดภัยไม่เทียบเท่ากระเป๋าเงินที่เป็นโอเพ่นซอร์สแบบเต็มรูปแบบ)
- เคยมีประวัติการถูกแฮ็กข้อมูลในเดือนกรกฏาคม 2022
ราคา
- Ledger Nano S Plus (ราคา 79 ดอลลาร์) : กระเป๋าเงินรุ่นเล็กในระดับเริ่มต้น แต่ยังให้การรักษาความปลอดภัยสินทรัพย์ดิจิทัลในระดับสูง
- Ledger Nano X (ราคา 149 ดอลลาร์) : กระเป๋าเงินขนาดเล็กพกพาสะดวกที่ยกระดับความปลอดภัยขึ้นมาอีกขั้น
- Ledger Stax (ราคา 279 ดอลลาร์) : กระเป๋าเงินคริปโตขั้นสูงที่สามารถปรับแต่งการใช้งานได้ มาพร้อมกับหน้าจอสัมผัสแบบ E-Ink ขนาดใหญ่ที่ช่วยให้สามารถจัดการสิ่งต่างๆ ได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น
4. SafePal
SafePal เป็นกระเป๋าเงินแบบไฮบริดที่สามารถใช้งานได้ทั้งในแบบออฟไลน์และออนไลน์ ในแบบออนไลน์นั้นมีให้บริการทั้งในรูปแบบของแอปพลิเคชั่นมือถือ (รองรับทั้ง Android และ iOS) และในรูปแบบที่เป็นส่วนขยายเว็บเบราเซอร์อีกด้วย นอกจากนี้ SafePal S1 ยังเป็นหนึ่งใน Hardware Wallet ที่มีความปลอดภัยสูงและรองรับสกุลเงินดิจิทัลมากมายอีกด้วย
ข้อดี
- รองรับสกุลเงินดิจิทัลกว่า 30,000 รายการ (รองรับกว่า 54 บล็อกเชนและยังคงรองรับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ)
- มีระบบรักษาความปลอดภัยด้วยชิป EAL 5+ ตัวซึ่งจะทำการสร้างคีย์เฉพาะแบบสุ่มขึ้นมา
- มีโหมดทำลายตัวเองเพื่อป้องกันการโจมตีจากมัลแวร์
- มี UI ที่ใช้งานได้ง่าย ถึงแม้ว่าจะเป็นมือใหม่ก็ตาม
- พกพาสะดวก และรองรับการใช้งานหลากหลายภาษา
- จัดเก็บโทเค็นและเหรียญต่างๆ ได้ไม่จำกัด
ข้อเสีย
- ไม่มีแอปพลิเคชั่นบนเดสก์ท็อปให้ใช้งาน
- ไม่มีเวอร์ชั่นเว็บให้ใช้งาน
ราคา
- SafePal App และ Extension (ดาวน์โหลดใช้งานได้ฟรี) : กระเป๋าเงินคริปโต SafePal ในรูปแบบของแอปพลิเคชั่นมือถือและส่วนขยายเว็บเบราเซอร์ ใช้งานง่าย ดาวน์โหลดได้ฟรี!
- SafePal S1 (ราคา 49.99 ดอลลาร์) : กระเป๋าเงินในรูปแบบของ Hardware Wallet ที่มีราคาย่อมเยา แต่อัดแน่นไปด้วยคุณภาพที่ไม่แพ้ตัวอื่นๆ
5. Guarda
Guarda เป็นหนึ่งในกระเป๋าเงินแบบ Multi-Crypto Wallet ที่ดีที่สุดที่รองรับสินทรัพย์ดิจิทัลกว่า 400,000 รายการ นอกเหนือจากการส่ง, รับ, และจัดเก็บคริปโตแล้ว Guarda Wallet ยังช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถทำการซื้อ, ขาย, แลกเปลี่ยน และ Staking ได้อีกด้วย นอกจากนี้ Guarda Wallet ยังเป็นกระเป๋าเงินแบบ Non-Custodial ซึ่งหมายความว่า ผู้ใช้งานจะสามารถควบคุมและจัดการคริปโตของพวกเขาด้วยตนเองได้อย่างเต็มรูปแบบ
ข้อดี
- มี UI ที่เรียบง่าย ใช้งานได้ง่ายและสะดวกสบาย
- รองรับสกุลเงินดิจิทัลกว่า 400,000 รายการ
- เป็นกระเป๋าเงินแบบ Non-Custodial (ผู้ใช้งานเป็นผู้ควบคุมและจัดการ Private Key ของพวกเขาเอง)
- ใช้งานได้ในหลายๆ แพลตฟอร์ม (Windows, Mac, Linux, iOS, และ Android)
- สามารถเชื่อมต่อเพื่อใช้งานกับ Ledger ได้
- สามารถใช้จ่ายด้วยคริปโตของคุณได้ด้วยบัตร Prepaid Crypto Visa Card ทั้งในรูปแบบของบัตรเสมือนจริงและบัตรจริง (ปัจจุบันใช้งานได้ในโซน EU)
ข้อเสีย
- ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย (ผ่านฟังก์ชั่นการซื้อขายที่อยู่ในกระเป๋าเงิน) ค่อนข้างสูง
- รองรับสกุลเงิน Fiat และ NFT จำนวนไม่มาก
ราคา
- Guarda (ดาวน์โหลดใช้งานได้ฟรี) : กระเป๋าเงินของ Guarda ทั้งในรูปแบบของแอปพลิเคชั่นสำหรับ เดสก์ท็อป, มือถือ นั้นสามารถดาวน์โหลดและใช้งานได้ฟรี และผู้ใช้งานยังสามารถสร้าง Web Wallet เพื่อใช้งานได้อีกด้วย
6. Electrum
Electrum เป็นอีกหนึ่งในกระเป๋าเงินคริปโตยอดนิยม ถึงแม้ว่ามันจะรองรับเพียง Bitcoin ก็ตาม Electrum ก่อตั้งขึ้นในปี 2011 ทำให้มันเป็นหนึ่งในกระเป๋าเงินดิจิทัลที่เก่าแก่ที่สุด Electrum Wallet นั้นมีฟีเจอร์ความปลอดภัยที่แข็งแกร่งมากมาย ซึ่งรวมไปถึง 2FA, Multi-Sig และการตรวจสอบหลักฐานการทำธุรกรรม ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ใช้งานยังสามารถปรับเปลี่ยนค่าธรรมเนียมได้ตามช่วงระยะเวลาที่คุณต้องการใช้ธุรกรรมเสร็จสิ้น (ยิ่งคุณต้องการให้ธุรกรรมเสร็จสิ้นไว คุณก็ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมมากขึ้น)
ข้อดี
- รองรับการชำระเงินผ่าน Lightning Network
- เป็นโอเพ่นซอร์สเต็มรูปแบบ ซึ่งหมายความว่า ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบโค้ดได้ ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้งาน
- ปรับแต่งค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมได้ตามต้องการ
- รองรับการเชื่อมต่อกับ Hardware Wallet อื่นๆ (Ledger, Trezor, KeepKey) เพื่อใช้จัดเก็บแบบออฟไลน์ได้
ข้อเสีย
- รองรับแค่เพียง Bitcoin เท่านั้น
- UI ไม่ค่อยเป็นมิตรกับมือใหม่
- ไม่มีการสนับสนุนลูกค้า
ราคา
- Electrum (ดาวน์โหลดใช้งานได้ฟรี) : กระเป๋าเงินของ Electrum สามารถดาวน์โหลดและใช้งานได้ฟรี ทั้งใน Python (เวอร์ชั่น 3.8 หรือสูงกว่า), Linux, Windows (เวอร์ชั่น 8.1 หรือสูงกว่า), MacOS (เวอร์ชั่น 10.13 หรือสูงกว่า) และ Android (เวอร์ชั่น 5.0 หรือสูงกว่า) (ไม่รองรับระบบ iOS)
7. Trust Wallet
Trust Wallet เป็นหนึ่งในกระเป๋าเงินคริปโตที่ดีที่สุดสำหรับการใช้งานบนโทรศัพท์มือถือ เนื่องจากมี UI ที่สะอาดตาและเข้าใจได้ง่าย Trust Wallet เป็นกระเป๋าเงินแบบ Non-Custodial ที่รองรับมากกว่า 65 บล็อกเชน รวมถึงรองรับเหรียญและโทเค็นมากกว่า 4.5 ล้านรายการ และยังรองรับ DApps และ NFTs จำนวนมากอีกด้วย
ข้อดี
- มี UI ที่เข้าใจได้ง่ายและสะอาดตา ทำให้ใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย
- ใช้งานได้ทั้งในระบบ Android และ iOS รวมถึงเป็นส่วนขยายเว็บเบราเซอร์
- รองรับสกุลเงินดิจิทัลมากกว่า 4.5 ล้านรายการ
- รองรับการ Staking
- เป็นกระเป๋าเงินแบบ Non-Custodial
- เป็นเว็บเบราเซอร์สำหรับ DApps
ข้อเสีย
- ไม่มี 2FA และ Multi-Sig
- ไม่มี Live Support
ราคา
- Trust Wallet (ดาวน์โหลดใช้งานได้ฟรี) : Trust Wallet สามารถดาวน์โหลดและใช้งานได้ฟรี ทั้งบน Google Play Store, App Store (แอปพลิเคชั่นมือถือ) และ Chrome Web Store (ส่วนขยายเว็บเบราเซอร์)
8. Coinbase Wallet
Coinbase Wallet เป็นกระเป๋าเงินที่ดีที่สุดสำหรับมือใหม่ในวงการคริปโตจากการที่มันสามารถใช้งานได้ง่ายและมีความปลอดภัยสูง Coinbase Wallet เป็น Non-Custodial Wallet (แตกต่างจากแอป Coinbase.com ซึ่งเป็น Custodial Wallet) ที่รองรับการจัดเก็บคริปโตและ NFT รวมกว่า 5,500 รายการ อีกทั้งยังเป็นเบราเซอร์ DApps ที่ใช้สำหรับเข้าถึงแอปพลิเคชั่น Web3 ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ใช้งานยังสามารถซื้อ, แลกเปลี่ยน, บริดจ์ (แลกเปลี่ยนเหรียญ/โทเค็นข้ามเชน), ส่ง, และรับคริปโตได้อีกด้วย
ข้อดี
- มี UI ที่ง่ายต่อการใช้งาน
- รองรับสกุลเงินดิจิทัลกว่า 5,500 รายการ
- เชื่อมต่อกับ Ledger เพื่อใช้งานเป็น Cold Storage ได้
- รองรับ NFTs ของบล็อกเชน Ethereum และ Polygon
- เชื่อมต่อกับกระดานเทรดแบบกระจายอำนาจ (DEXs) หลายตัว
- ใช้งานได้ทั้งในระบบ Android และ iOS รวมถึงเป็นส่วนขยายเว็บเบราเซอร์
ข้อเสีย
- ไม่มีแอปพลิเคชั่นบนเดสก์ท็อปให้ใช้งาน
- ไม่ใช่โอเพ่นซอร์สแบบเต็มรูปแบบ
- มีชื่อเสียงทื่ไม่ค่อยดีเรื่องการสนับสนุนลูกค้า
ราคา
- Coinbase Wallet (ดาวน์โหลดใช้งานได้ฟรี) : Coinbase Wallet สามารถดาวน์โหลดและใช้งานได้ฟรี ทั้งบน Google Play Store, App Store (แอปพลิเคชั่นมือถือ) (โปรดอย่าสับสนกับแอปพลิเคชั่น Coinbase.com) และ Chrome Web Store (ส่วนขยายเว็บเบราเซอร์)
9. MetaMask
หากคุณใช้งานแอปพลิเคชั่นบนบล็อกเชน Ethereum อยู่เป็นประจำ MetaMask คือกระเป๋าเงินคริปโตที่ดีที่สุดสำหรับคุณ MetaMask สามารถใช้งานได้ฟรีและเป็นกระเป๋าเงินโอเพ่นซอร์สที่สามารถจัดเก็บสินทรัพย์ดิจิทัลใดๆ ก็ตามที่สร้างขึ้นบนบล็อกเชน Ethereum ซึ่งมีมากกว่า 700,000 รายการ ยิ่งไปกว่านั้น MetaMask ยังสามารถเพิ่มเครือข่ายบล็อกเชนอื่นๆ มากมาย (เช่น Polygon, BNB Chain, Avalanche) ลงไปในกระเป๋าเงินเพื่อให้สามารถรองรับสินทรัพย์จากเครือข่ายดังกล่าวได้
ข้อดี
- มี UI ที่ใช้งานได้ง่าย
- รองรับสกุลเงินดิจิทัลกว่า 700,000 รายการ (เหรียญ ERC-20 และ DApps บนบล็อกเชน Ethereum)
- สามารถชำระเงินการซื้อคริปโตได้ด้วยการโอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร, บัตรเครดิต รวมถึง PayPal
- สามารถเชื่อมต่อกับตลาดซื้อขาย NFT ได้
ข้อเสีย
- ไม่มีแอปพลิเคชั่นบนเดสก์ท็อปให้ใช้งาน
- ไม่รองรับเหรียญที่ไม่ใช่ Ethereum (เช่น Bitcoin)
- ค่าธรรมเนียมการซื้อ ETH อาจจะสูงขึ้นได้ในบางครั้ง
ราคา
- MetaMask (ดาวน์โหลดใช้งานได้ฟรี) : MetaMask สามารถดาวน์โหลดและใช้งานได้ฟรี ทั้งบน Google Play Store, App Store (แอปพลิเคชั่นมือถือ) และ Chrome Web Store (ส่วนขยายเว็บเบราเซอร์)
กระเป๋าเงินคริปโต (Crypto Wallet) แบบไหนที่ดีที่สุดสำหรับคุณ?
กระเป๋าเงินคริปโตที่ได้กล่าวถึงไปในบทความนี้ต่างก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันไป แต่ทุกตัวก็เป็นกระเป๋าเงินคริปโตที่เชื่อถือได้และสามารถใช้จัดเก็บคริปโตของเราได้อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตาม การจะเลือกใช้งานกระเป๋าเงินคริปโตใดๆ นั้นก็จะขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละคน เช่น หากคุณกำลังมองหากระเป๋าเงินฮาร์ดแวร์ดีๆ ซักตัว นอกเหนือไปจากฟังก์ชั่นการทำงานต่างๆ แล้ว คุณอาจจะต้องตรวจสอบดูด้วยว่าคุณมีงบเท่าใดเพื่อที่จะซื้อมันมาใช้งาน หรือหากต้องการเลือกใช้กระเป๋าเงินคริปโตที่เป็นซอฟต์แวร์ ก็โปรดตรวจสอบให้ดีว่า กระเป๋าเงินที่คุณเลือกใช้นั้นรองรับคริปโตที่คุณต้องการจะจัดเก็บหรือไม่
คำศัพท์ทางเทคนิคในบทความ
- Non-Custodial Wallet: กระเป๋าเก็บสินทรัพย์ดิจิทัลที่ผู้ให้บริการเป็นเพียงผู้พัฒนาโปรแกรมหรือ แอปพลิเคชั่นและไม่ได้ทำหน้าที่เก็บรักษา Private Key ให้แก่ผู้ใช้งาน การใช้งาน Wallet ลักษณะนี้มีข้อดีคือ ผู้ใช้งานจะเป็นผู้เก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัลเอง จึงไม่ต้องกังวลเรื่องความน่าเชื่อถือหรือระบบในการเก็บรักษา
- NFT (Non-Fungible Token): คือสินทรัพย์ดิจิทัลที่แต่ละโทเค็นหรือแต่ละเหรียญมีลักษณะเฉพาะตัว ไม่สามารถแทนที่กันได้ NFT จัดเป็นสินทรัพย์ Cryptocurrency ชนิดหนึ่ง
- 2FA หรือ MFA: ย่อมาจากคำว่า Two-Factor Authentication หรือ Multi-Factor Authentication หรือก็คือการยืนยันตัวตนแบบ 2 ปัจจัยหรือหลายปัจจัย ซึ่งเป็นระบบการรักษาความปลอดภัยโดยให้ผู้ใช้งานทำการยืนยันตนตามขั้นตอนที่กำหนดก่อนที่จะสามารถเข้าใช้งานบริการหรืออุปกรณ์ต่างๆ ได้
- Multi-Signature: คือระบบการรักษาความปลอดภัยให้กับกระเป๋าเงินด้วยการกำหนดให้มีการใช้คีย์อย่างน้อย 2 คีย์ขึ้นไปจึงจะสามารถทำธุรกรรมใดๆ ได้
- Staking: การที่เราเอาสกุลเงินดิจิทัลเราที่มีไปวางค้ำประกัน(ล็อก)ไว้เฉยๆ จากนั้นแพลตฟอร์มก็จะให้รางวัลตอบแทนตามเงื่อนไขและระยะเวลาที่แพลตฟอร์มกำหนด
- DApps (Decentralized Application): แอปพลิเคชั่นที่มีการนำบล็อกเชนมาสร้างขึ้นเป็นแอปพลิเคชั่นใหม่ๆ ขึ้นมาโดยดึงข้อเด่นของ Blockchain และ Smart Contract ในเรื่องของการจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายบนเครือข่ายและความปลอดภัยมาใช้
ข้อจำกัดความรับผิด
ข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่บนเว็บไซต์ของเราเผยแพร่ด้วยเจตนาที่ดีและเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น การกระทำใด ๆ ที่ผู้อ่านดำเนินการตามข้อมูลที่พบบนเว็บไซต์ของเราถือเป็นความเสี่ยงของผู้อ่านโดยเฉพาะ Learn ให้ความสำคัญกับข้อมูลคุณภาพสูง เราอุทิศเวลาให้กับการแยกแยะ ค้นคว้า และสร้างเนื้อหาเพื่อการศึกษาซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน เพื่อเป็นการรักษามาตรฐานนี้และเพื่อสร้างเนื้อหาคุณภาพได้อย่างต่อเนื่อง พาร์ตเนอร์ของเราอาจตอบแทนเราด้วยค่าคอมมิชชั่นสำหรับการจัดวางตำแหน่งต่าง ๆ ในบทความของเรา อย่างไรก็ดี ค่าคอมมิชชั่นนี้ไม่มีผลต่อกระบวนการของเราในการสร้างเนื้อหาที่ไร้อคติ ตรงไปตรงมา และเป็นประโยชน์