เดือนพฤศจิกายนนี้เป็นเดือนที่ค่อนข้างยากลำบากสำหรับพื้นที่ Crypto เราไม่ได้พูดถึงเรื่องระดับต่ำสุดรายสัปดาห์ที่เกิดขึ้นในตลาด ตอนนี้ เราพร้อมแล้วสำหรับทุกสิ่งที่ตลาดหมีจะขว้างใส่เรา เฮ้อออ! ที่จริงแล้ว เรากำลังพูดถึง “การล่มสลายของ FTX” — การล่มสลายที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดได้สั่นสะเทือนระบบนิเวศของ Crypto ทั้งหมด และทำให้เราสงสัยว่าในแวดวง Crypto ยังมีใครที่ “ยิ่งใหญ่” เกินกว่าที่จะ “ล้มเหลว” หรือไม่!
💡 คุณต้องการที่จะเรียนรู้ก่อนเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญๆ ในพื้นที่ Crypto เพื่อที่จะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยหรือไม่? มาเข้าร่วม BeInCrypto Trading Community บน Telegram สิ: ที่นั่นเราไม่เพียงแชร์ข้อมูลการวิเคราะห์ทางเทคนิคและตอบคำถามของคุณทุกๆ วัน แต่เรายังให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของตลาดและการแจ้งเตือนต่างๆ อีกด้วย! เข้าร่วมเลยเดี๋ยวนี้!
การล่มสลายของ FTX นั้นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นภายในวันเดียว แต่มันกินเวลาเกือบ 2 สัปดาห์ มีการหักมุมในทุกๆ รอบ และบอกตามตรงว่า เราอาจจะยังไม่ได้เห็นถึงจุดจบของเรื่องนี้ ปัจจุบัน กระดานเทรด Crypto ที่ “เคย” ใหญ่เป็นอันดับ 2 จากปริมาณการซื้อขายดูเหมือนจะหมดลมหายใจลงไปแล้วหลังจากที่ต้องเผชิญหน้ากับความเสียหายที่ไม่สามารถแก้ไขได้ และการล่มสลายดังกล่าวนั้นทำให้เกิดคำถามมากมาย: FTX มาถึง ณ จุดนี้ได้อย่างไร? จะเกิดอะไรขึ้นกับเงินของลูกค้าที่ติดอยู่ใน FTX? และเมื่อใดที่คลื่นความเสียหายที่เกิดจากการล่มสลายของ FTX เหล่านี้จะหยุดส่งผลกระทบต่อตลาด? พร้อมด้วยคำถามอื่นๆ อีกมากมาย
เราจะพยายามตอบคำถามเหล่านี้ให้กับคุณ ช่วยให้คุณเข้าใจถึงการล่มสลายของ FTX และสาเหตุที่นำไปสู่การล่มสลาย และเพื่อให้คุณรู้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน FTX เป็นเหมือนระเบิดที่รอการระเบิด ทำไมเราถึงพูดอย่างนั้น? มาอ่านไปพร้อมๆ กันในขณะที่เราทำการเจาะลึกลงไปในรายละเอียด
เกิดอะไรขึ้น, อะไรที่กำลังเกิดขึ้น, และอาจจะเกิดอะไรขึ้นกับ FTX?
ก่อนที่เราจะไปต่อ เราต้องบอกคุณไว้ก่อนว่า เรื่องนี้คงจะต้องอ่านกันยาว! ดังนั้น หากคุณมีเวลาที่จำกัด นี่คือรายละเอียดแบบย่อๆ
ก่อนอื่น เกิดอะไรขึ้น?
เรื่องราวเริ่มขึ้น (พฤษภาคม 2019)
ย้อนกลับไปในปี 2019 เมื่อ FTX ได้ถือกำเนิดขึ้น Alameda Research ก็เข้ามามีบทบาทแล้ว จากข้อมูลของ Nansen ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการวิเคราะห์บล็อกเชน ไม่เคยมีการแบ่งขอบเขตที่ชัดเจนระหว่างทั้ง 2 บริษัทนี้ ชายคนหนึ่งที่เป็นศูนย์กลางของทั้ง 2 บริษัท คนหนึ่งจัดการกับกองทุนและอีกคน “ใช้” มัน (เก็งกำไร) ไม่ใช่เรื่องราวที่จบลงด้วยดี
นอกจากนี้ การที่ FTX ที่เข้าร่วมในกระแสการโฆษณาที่เกินจริงนั้นอาจจะแสดงให้พวกเขาเห็นถึงความมั่นใจที่มากเกินไป การมี FTX Arena ในพื้นที่รัฐไมอามีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงมูลค่า 135 ล้านดอลลาร์เพื่อนำ Larry David มาเล่นในโฆษณาสุดฮา ทำให้ FTX และ FTX CEO ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก
ความสนใจที่มากเกินไป = ปัญหาที่มากเกินไป
ตะปูดอกแรก
การล่มสลายของ TerraUSD เป็นตะปูตอกฝาโลงดอกแรกในเรื่องราวนี้ การตรวจสอบ On-Chain ของ Nansen เผยให้เห็นว่าระหว่างการล่มสลายของ UST นั้น พบว่ามี FTT จำนวนมากไหลออกจาก FTX หรือว่า Sam Bankman-Fried ใช้โทเค็น FTT เพื่อช่วยเหลือบริษัทต่างๆ หรือไม่?
หรือในขณะที่ตลาดกำลังล่ม โทเค็น FTT ของผู้ใช้งานถูกส่งไปยัง Alameda Research โดยใช้แบ็คดอร์เพื่อทำการขายชอร์ต?
หลายคำถาม ไร้คำตอบ!
นี่คือภาพรวมฉบับย่อของ Nansen จากปี 2019
การเข้ามาผสมโรง
ปลายเดือนตุลาคม เจ้าพ่อกระดานเทรด Crypto ออกหมัดแย๊บใส่กันและกัน โดย Changpeng Zhao ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับท่าทีของ SBF ต่อ DeFi และ SBF โต้กลับอย่างรุนแรงโดยนำความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีนเข้ามาผสมโรง
ไม่ดีเลย นี่มันไม่ใช่เรื่องดีเลย!
2 พฤศจิกายน
CoinDesk เปิดเผยงบดุลของ Alameda Research
ประเด็นที่ทำให้เกิดการพูดคุย:
- FTT ที่มีการถืออยู่เป็นจำนวนมาก
- SOL เป็นสกุลเงินที่ถือครองมากเป็นอันดับ 2
- BTC, ETH, Fiat… นี่มันอะไรกัน
6 พฤศจิกายน
Binance และ Changpeng Zhao ตัดสินใจที่จะขาย FTT ที่ถือครอง โดยเปรียบเทียบสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับล่มสลายของ TerraUSD อย่างไรก็ตาม ครั้งหนึ่ง Binance ได้เคยลงทุนใน FTX และสิ่งที่ได้รับมาเป็นการแลกเปลี่ยนก็คือ เขาก็ได้รับโทเค็น FTT มา “เล็กน้อย” โอเคๆ มันมากกว่าคำว่า “เล็กน้อย” ไปเยอะเลย!
ประเด็นที่ทำให้เกิดการพูดคุย:
- การประกาศดังกล่าวสร้างความตื่นตระหนกและราคา FTT เริ่มร่วงลง
- Caroline Ellison — CEO ของ Alameda Research — ต้องการซื้อ FTT ที่ CZ ต้องการจะขาย
7 พฤศจิกายน
SBF ทวีตว่าสินทรัพย์ FTX ทั้งหมดนั้นยังอยู่ดี ทวีตเหล่านี้ไม่ปรากฏอยู่บนบัญชีของเขาอีกแล้ว แต่คุณจะได้พบมันเมื่อคุณอ่านต่อไปเรื่อยๆ
จากการโต้เถียงดังกล่าว เจ้าพ่อ Crypto ก็เริ่มพูดถึงการเป็นหุ้นส่วน:
Binance ทวีตว่าพวกเขาจะขอดูบัญชีทรัพย์สินของ FTX แล้วจะตัดสินใจว่าต้องการซื้อกิจการของ FTX หรือไม่ แม้แต่ SBF ก็ทวีตข้อความนี้และกล่าวว่าสิ่งที่หยุดไม่ให้ Binance เข้าครอบครอง FTX นั้นเป็นเพียง DD หรือ Due Diligence (การสอบทานธุรกิจ) ที่เรียบง่ายเท่านั้น ที่จริง มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น
FTX ล่มสลาย
FTX ต้องปิดตัวลงระหว่างวันที่ 8 ถึง 11 พฤศจิกายน นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น:
- Binance ปฏิเสธที่จะซื้อ FTX
- FTX ระงับการถอนชั่วคราว
- ตลาดดิ่งลง
- FTX และบริษัทในเครือยื่นล้มละลาย
นั่นคือเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น
หากคุณยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับความเกี่ยวข้อง FTX-Alameda นี่คือภาพที่จะช่วยอธิบายเรื่องการล่มสลายของ FTX ได้:
และนี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
การแฮ็ก
11 พฤศจิกายน 2022 พวกเขาโพสต์ยื่นล้มละลาย กระเป๋าเงินของ FTX (รวมถึงเวอร์ชั่น US ด้วย) ถูกแฮ็ก สินทรัพย์ได้ถูกระบายออกไปกว่า 663 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และถึงแม้ว่าบางรายการนั้นจะดูเหมือนการถอนเงินทั่วไป แต่เงินเกือบ 450 ล้านดอลลาร์ก็อาจจะรวมอยู่ในเงินที่ถูกขโมยไป แฮ็กเกอร์ที่ยังไม่สามารถระบุตัวตนได้อาจจะใช้ Kraken เพื่อเคลื่อนย้ายเงิน
นอกจากนี้ แฮ็กเกอร์ยังทำการไปย้ายมาอีกหลายครั้งเพื่อเคลื่อนย้ายเงินทุนโดยไม่ถูกจับได้ ณ ตอนนี้, ณ เวลานี้, เขาถือครองเงินมูลค่า 288 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทั้งหมดเป็น ETH จากการที่เขา/เธอได้สวอป Stablecoins เป็นพวกมัน ปัจจุบันเขา/เธอเป็นผู้ถือครอง ETH รายใหญ่อันดับที่ 35 ของโลก
การแฮ็กดังกล่าวทำให้โอกาสได้รับเงินคืนของลูกค้าลดลงไปอีก อย่างไรก็ตาม การสืบสวนในเรื่องดังกล่าวยังคงดำเนินอยู่
ความคิดเห็น
การร่วงหล่นของ FTX ทำให้ John Ray III ซีอีโอคนปัจจุบันรู้สึกงุนงง เขาแสดงความคิดเห็นว่าเขาไม่เคยเห็นความล้มเหลวแบบนี้มาก่อน เขาคิดว่านี่มันแย่ยิ่งกว่าการล้มละลายของ Enron และเขาซึ่งเป็นผู้ที่จัดการกับการปรับโครงสร้างของ Enron รู้ว่า Enron นั้นย่ำแย่เพียงใด
การสืบสวน
ตอนนี้ FTX กลายเป็นหัวข้อของอาชญกรรมที่เจ้าเล่ห์เพทุบาย FTX Bahamas นั้นอาจจะมีพนักงานที่เกี่ยวข้องกับความรู้เรื่องการยักยอกเงิน จะมีการสืบสวนเพิ่มเติมในเร็วๆ นี้
อะไรที่อาจจะเกิดขึ้นได้บ้าง?
อุตสาหกรรม Crypto คงจะต้องมีการดำเนินการหลายอย่าง แต่ก่อนอื่น มันควรจะมีมาตรฐานที่ชัดเจนซึ่งสามารถเลือกใช้ได้โดยสมัครใจและโปร่งใส อาจจะมีกฎระเบียบตามมาหรือไม่มีในภายหลัง
Binance ยังได้เริ่มการพูดคุยเกี่ยวกับการทำ Proof-of-Reserve ซึ่งขณะนี้ได้เปิดเผยหลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับบริษัท Crypto รายอื่นๆ
ตัวอย่างเช่น ในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน Crypto.com ได้ส่งเงินมูลค่าเกือบ 400 ล้านดอลลาร์เป็น ETH ไป “ผิด” Address ซึ่งเป็น Address ของกระดานเทรด เดี๋ยวนะ นี่เป็นการช่วยให้บริษัทบางแห่งสามารถแสดงภาพ Proof-of-Reserve และเงินทุนของลูกค้าจำนวนมากได้ดียิ่งขึ้นหรือไม่?
เราจะได้รู้กันในไม่ช้า
แต่มันก็ยังมีการเปิดเผยเรื่องต่างๆ อย่างต่อเนื่อง อีกเรื่องหนึ่งคือมีการพูดกันว่า FTX อาจจะถือครองโทเค็นมูลค่า 659,000 ดอลลาร์เท่านั้น (คำนวนจากมูลค่าที่เหมาะสม) ก่อนหน้านี้ SBF คาดการณ์ไว้ในเรื่องเดียวกันที่ 5.5 พันล้านดอลลาร์
และเมื่อกระบวนการล้มละลายเริ่มขึ้น เรายังคงมองหาเรื่องอื้อฉาวอื่นๆ ที่ยังถูกซุกซ่อนเอาไว้ รวมถึง:
- SBF ลืมคำนึงถึงหนี้สินของลูกค้า หรือจะบอกว่า ผิดพลาดโดยสุจริตงั้นหรือ?
- การจัดการเงินสดที่ล้มเหลว
- ร่างเอกสารการยื่นล้มละลายเผยให้เห็นว่า FTX ไม่ได้เก็บบันทึกบัญชีทรัพย์สินหรืออะไรไว้เลยแม้แต่น้อย นี่มันเป็นความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง!
- อีกอย่าง พวกเขาไม่มีแผนกบัญชีอีกด้วย
นี่คือเธรด Twitter ที่มีการเปิดเผยเรื่องอื่นๆ :
FTX (เคย)เป็นอย่างไรก่อนการล่มสลาย?
FTX เป็นแพลตฟอร์มซื้อขาย/แลกเปลี่ยน Crypto จากบาฮามาส Sam Bankman-Fried (SBF) สำเร็จการศึกษาจาก MIT ก่อตั้ง FTX ขึ้นในปี 2019 เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน (ก่อนที่จะเกิดเรื่องที่เลวร้ายกับ FTX) มันเป็นกระดานเทรดแบบรวมศูนย์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 จากปริมาณการซื้อขายรองจาก Binance
แต่เดี๋ยวก่อน หาก FTX เป็นเพียงแพลตฟอร์มสำหรับนำผู้ซื้อและผู้ขาย Crypto มารวมกัน (ซึ่งเป็นสิ่งที่กระดานเทรดทำ) ทำไมพวกเขาถึงได้ตกเป็นศูนย์กลางของความสับสนวุ่นวายนี้? อย่าพึ่งสงสัยมากจนเกินไป อีกซักพัก เราก็จะมาพูดถึงเรื่องราวทั้งหมดของการล่มสลายของ FTX กัน
แต่ก่อนอื่น เรามาดูกันก่อนว่า FTX ประสบความสำเร็จอะไรบ้างในช่วงก่อนหน้า
FTX ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนรายใหญ่เช่น Temasek, Softbank และ Sequoia และปริมาณการซื้อขายของมันก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเคยมีมากสูงสุดเกือบ 2 พันล้านดอลลาร์ ด้วยการนำโดย SBF FTX เริ่มมีชื่อเสียงในพื้นที่ Crypto แพลตฟอร์มนี้ทำได้ดี สร้างชื่อให้ตัวเองได้ด้วยโฆษณาส่งเสริมการขายทั้งหมดที่เงินสามารถซื้อได้ และเงินก็เป็นสิ่งที่ FTX มีมากมาย
ในเดือนพฤษภาคม 2022 เมื่อ FTX ขยายวิสัยทัศน์ของพวกเขาโดยการนำเสนอฟังก์ชั่นการซื้อขายหุ้น ความคิดนี้นำโดย FTX US ซึ่งเป็นหน่วยงานในสหรัฐฯ ของแพลตฟอร์ม FTX ถึงขนาดมีโทเค็นเป็นของตัวเอง ซึ่งก็คือ โทเค็น FTT ซึ่งก็ทำได้ดีมากก่อนเดือนพฤศจิกายน 2022 นอกจากนี้ การถือครอง Solana ของ Alameda Research ซึ่งเป็นบริษัทในเครือก็ได้ทำให้เกิดสิ่งที่ยอดเยี่ยมสำหรับ Price Action ของ SOL FTX นั้นยิ่งใหญ่ขึ้นและทำให้ทุกอย่างที่มันสัมผัสประสบความสำเร็จไปด้วย
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้มันโดดเด่นขึ้นมา FTX นั้นโปรโมตตัวเองและ Crypto ค่อนข้างมาก และยังได้ลงทุนและเข้าซื้อกิจการบริษัทอื่นๆ อีกหลายแห่งในช่วงที่บริษัทเติบโต
เราลองมาหวนคิดถึงวันเก่าๆ ของ FTX เมื่อการตลาดเชิงรุกเป็นเรื่องปกติสำหรับแพลตฟอร์มที่นำโดย SBF
หมายเหตุ
ปัจจุบัน John Ray III ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับโครงสร้างได้เข้ามารับตำแหน่งต่อจาก Sam Bankman-Fried เป็น CEO ของ FTX
สิทธิในการตั้งชื่อ
ในเดือนมิถุนายน 2021 FTX ได้ลงนามในข้อตกลงมูลค่า 135 ล้านดอลลาร์กับ Miami-Dade Country และ Miami Heat เพื่อให้มีชื่อของพวกเขาปรากฏอยู่ใน Miami Arena ซึ่งเป็นสนามเหย้าของ Miami Heat เป็นเวลา 19 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงนี้ดูเหมือนว่าจะถูกยกเลิกเนื่องจาก FTX ได้ยื่นล้มละลาย การได้รับสิทธิ์ในการตั้งชื่อ Miami Arena เป็นหนึ่งในข้อตกลงของการเป็นสปอนเซอร์กีฬามากมายที่เกิดขึ้นเมื่อ FTX กำลังบินสูง
การล้มละลายของ FTX นำไปสู่การรื้อป้ายที่ FTX Arena
โฆษณาในงาน Super Bowl
เราไม่ค่อยได้เห็นบริษัท Crypto ลงโฆษณาในระหว่างงานแข่งขันกีฬาที่ยิ่งใหญ่ และยิ่งเป็นในช่วงตลาดหมีอีกด้วย — ไม่มีทาง! แต่ FTX ไม่คิดเช่นนั้นเมื่อโฆษณา Super Bowl ที่ได้รับความนิยมอย่างมากของพวกเขาได้มีการฉายในระหว่างงาน
แนวคิดนั้นเรียบง่าย โฆษณาเกี่ยวกับคนที่ดูแคลนสิ่งประดิษฐ์ทุกยุคทุกสมัย เช่น วงล้อ ห้องน้ำ หรือแม้แต่หลอดไฟ ในตอนท้ายของโฆษณา ชายคนดังกล่าวถูกมองว่ากำลังล้อเลียนที่ FTX ซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัยและง่ายในการเข้าสู่พื้นที่ Crypto และเขาปิดท้ายด้วยการบอกว่าเขาไม่เคยคิดผิดเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ โฆษณาที่เหน็บแนมแต่ตลกขบขันทำให้เกิดความนิยมอย่างรวดเร็ว
มีรายงานว่า FTX ต้องจ่ายมากกว่า 6.5 ล้านดอลลาร์สำหรับโฆษณา Super Bowl 30 วินาทีนั้น
ปรบมือต้อนรับ Larry David
FTX ได้ Larry David — นักแสดงตลกชาวอเมริกันและผู้ร่วมสร้าง Seinfeld — มาแสดงในโฆษณา Super Bowl ของพวกเขา
แม้ว่า Larry David จะกล่าวว่า FTX ไม่ใช่วิธีที่ปลอดภัยและง่ายในการเข้าสู่ Crypto แต่มันแค่ก็ดูประชดประชันและตลกขบขันเท่านั้น ในเดือนพฤศจิกายน 2022 การประชดประชันทั้งหมดที่ Larry David แสดงให้เห็นนั้นสมเหตุสมผลมาก เนื่องจาก FTX ไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริงๆ
โฆษณา Larry David ทำให้ FTX เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ได้รับการรีทวีตเป็นอย่างมากจากงาน Super Bowl
การเป็นสปอนเซอร์อื่นๆ ของ FTX
พร้อมๆ ไปกับการได้รับสิทธิ์ตั้งชื่อสนามใน Miami และโฆษณา Super Bowl ที่มี Larry David ร่วมแสดงได้รับความสนใจมากที่สุด FTX ก็ได้ทำการเป็นสปอนเซอร์รายอื่นๆ ไปพร้อมกัน ในปี 2021 ข้อตกลงการเป็นสปอนเซอร์ระหว่าง Mercedes และ FTX ก็มาถึง อย่างไรก็ตาม การล้มละลายของ FTX ในขณะนี้หมายความว่าข้อตกลงนี้สิ้นสุดลงแล้ว
ปี 2021 FTX เข้าสู่เวที Esports ด้วยการลงนามในข้อตกลงกับ TSM เกี่ยวกับซีรี่ส์ LoL (League of Legends) หลังจากนั้นไม่นาน FTX และ Furia ซึ่งเป็นองค์กร Esports อีกแห่งก็ได้จับมือกัน อย่างไรก็ตาม ข้อตกลง 1 ปีกับ Furia ไม่มีผลอีกต่อไป
นอกจากนี้ MLB (Major League Baseball) ยังเข้าร่วมเป็นพาร์ทเนอรเป็นเวลา 5 ปีกับ FTX ในปี 2021 ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น FTX ยังมีความเกี่ยวข้องกับกีฬาระดับวิทยาลัย โดยได้ลงนามในข้อตกลง “สิทธิในการตั้งชื่อ” กับมหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนียในปี 2021 ด้วยเงินจำนวน 17.5 ล้านดอลลาร์
ซุปเปอร์สตาร์ในแวดวงกีฬาอย่าง Gisele Bündchen และ Tom Brady ก็มีความเกี่ยวข้องกับ FTX เนื่องจากทั้งคู่เป็นเจ้าของหุ้นในบริษัท ด้วยการยื่นล้มละลายของ FTX มูลค่าสุทธิของ Tom Brady และ Gisele Bündchen ได้รับผลกระทบแล้ว
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า FTX มีความเคลื่อนไหวอย่างไรในการโปรโมตตัวเอง ทุกความเคลื่อนไหวสร้างความมหัศจรรย์ให้กับโทเค็น FTT
โทเค็น FTT คืออะไร?
FTT เป็นโทเค็นดั้งเดิมของ FTX และเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ FTX ล่มสลายเร็วขึ้น มันเป็นโทเค็นยูทิลิตี้ที่ทำขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าจะได้รับส่วนลดค่าธรรมเนียมการซื้อขาย มันยังทำงานเป็นโทเค็นเพื่อการซื้อขาย ทำให้ผู้ใช้งานสามารถใช้มันได้เหมือนกับหลักประกันต่อสถานะของฟิวเจอร์ส จากการล้มละลายของ FTX ในตอนนี้ โทเค็น FTT จึงดูจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยในขณะนี้
การพังทลายของโทเค็น FTT: สาเหตุของการล่มสลายของ FTX?
แม้ว่าเราจะมาพูดถึงสาเหตุของการล่มสลายของ FTX ในบทความนี้ แต่ก่อนอื่น เรามาดูเรื่องการพังทลายของโทเค็น FTT ให้ละเอียดยิ่งขึ้นกันก่อนดีกว่า
แต่ก่อนหน้านั้น เรามาดูประวัติราคาของ FTT กัน:
โทเค็น FTT เคยขึ้นไปถึง 85.02 ดอลลาร์ ในเดือนกันยายน 2022 ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2022 ราคา FTT ก็ยังอยู่สูงกว่า 22 ดอลลาร์ รอซักครู่ เราจะพูดถึงความสำคัญของราคา 22 ดอลลาร์ในภายหลัง
การพังทลายของโทเค็น FTT เกิดขึ้นเมื่อ Binance CEO CZ (Changpeng Zhao) ทวีตเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนว่า Binance วางแผนที่จะขายโทเค็น FTT จำนวนมากที่ได้รับจาก FTX ในระหว่างถอนการลงทุน เขากล่าวว่าความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นเนื่องจาก “เรื่องที่มีการเปิดเผยขึ้นมาล่าสุด” บางเรื่อง ซึ่งเราจะอธิบายเรื่องดังกล่าวในภายหลัง
จากการที่ FTX ประสบความสำเร็จและ FTT ทำได้ค่อนข้างดีสำหรับโทเค็นดั้งเดิมของกระดานเทรด Crypto ทำให้ Sam Bankman-Fried ถูกแปะป้ายว่าเป็น “ซุปเปอร์ฮีโร่แห่งโลก Crypto” อย่างรวดเร็ว ดังนั้น มันน่าจะดีกว่าที่เราจะพูดถึงเขาก่อนที่เราจะไปอธิบายเรื่องการล้มละลายของกระดานเทรด FTX
Sam Bankman-Fried คือใคร?
Sam Bankman-Fried หรือ Samuel Bankman-Fried เป็นเด็กหนุ่มมหัศจรรย์แห่งโลก Crypto ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา สำหรับพื้นเพของเขา เขาได้ก่อตั้ง FTX และบริษัทในเครือในสหรัฐฯ อย่าง FTX U.S. นอกจากนี้ เขายังเป็นหนึ่งในบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก Crypto และยังประกาศว่าเขาเต็มใจที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมเพื่อช่วยเหลือบริษัท Crypto ที่ประสบกับความยากลำบาก — โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขายื่นมือเข้าช่วยเหลือ Three Arrows Capital และ Celsius ในช่วงที่ Luna ล่มสลาย
แต่นั่นไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเขา เรามาเจาะลึกชีวิตของชายผู้ซึ่งนำพาเดือนพฤศจิกายนที่มืดมนที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก Crypto เข้ามากันดีกว่า
เขาคือใคร… แบบว่า… เอาจริงๆ?
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ Sam Bankman-Fried ใช้ประโยชน์จากความคลั่งไคล้ใน Crypto อย่างรวดเร็วและกลายมาเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกเมื่อเขามีอายุ 29 ปี ที่อายุ 29 ปี มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของเขาอยู่ที่ 22,000 ล้านดอลลาร์ การล่มสลายของ Luna-Terra มูลค่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ทำให้เขากลายเป็นฮีโร่ มีการสันนิษฐานว่าเขาเห็นวิกฤตเป็นโอกาสในการทำเงินมากขึ้นในขณะที่ช่วยเหลือองค์กรส่วนกลางบางส่วนที่ได้รับผลกระทบ
เขาช่วย BlockFi ซึ่งเป็นผู้ให้บริการสินเชื่อ Crypto ด้วยเงิน 750 ล้านดอลลาร์ และในขณะที่มูลค่าสุทธินี้ลดลงในปี 2022 ซึ่งยังคงอยู่ที่ประมาณ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่เขาก็ยังต้องการเล่นเกมยาว อย่างไรก็ตาม สิ่งต่างๆ ไม่ได้เป็นไปตามที่เขาวางแผนไว้ เราจะมาดูกันว่าทำไม
พ่อแม่ของ Sam Bankman-Fried คือใคร?
SBF เป็นบุตรชายของศาสตราจารย์ของ Stanford 2 ท่าน — Barbara Fried (แม่) และ Joseph Bankman (พ่อ) เขาเข้าสู่วงการ Crypto โดยมีพื้นฐานด้านการซื้อขายมากมาย โดยเขาซื้อขาย ETFs โดยเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทที่ทำการซื้อขายเชิงปริมาณ หลายปีต่อมา เขาตั้งมันขึ้นมาหนึ่งบริษัทด้วยตัวเขาเอง มีการสันนิษฐานว่าพ่อของเขามีตำแหน่งสำคัญในองค์กรที่ทะเยอทะยานของเขา
หลักการของเขาคืออะไร?
Bankman-Fried เป็นผู้ประกาศตนว่าเป็นผู้เห็นแก่ผู้อื่น และหลักการของเขาก็คือ “Effective Altruism” หมายความว่าเขาเต็มใจที่จะมอบเงินทั้งหมดของเขาให้ผู้อื่นซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่เห็นแก่ตัว
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ก็คือ เขายอมสละเงินของลูกค้าทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด การล่มสลายของ FTX ทำให้ทุกคนตั้งคำถามถึงหลักการ Effective Altruism ของเขา
กฏหมาย “DeFi Killing” คืออะไร?
ในเดือนตุลาคม 2021 Sam เสนอ “มาตรฐานอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลที่เป็นไปได้” ซึ่งเขาได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับกฏระเบียบการควบคุม Crypto สองสามข้อ แนวคิดดังกล่าวจะจำกัดการขยายตัวของ DeFi โดยการเพิ่มฟีเจอร์ดังต่อไปนี้ เช่น การระบุที่อยู่บัญชีดำและคุณสมบัติในการลงทุน Crypto ชุมชน Crypto เรียกสิ่งนี้ว่าเป็น “กฏหมายที่ออกมาฆ่า DeFi” ซึ่งทำให้ SBF ได้รับความสนใจจากชุมชนน้อยลงไปอย่างช้าๆ
นี่คือร่างกฎหมายที่เขาพยายามจะนำเสนอ
และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในไม่กี่วันหลังจากคำสัญญาว่าจะบริจาคเงินมูลค่าถึง 1 พันล้านดอลลาร์เป็นอย่างน้อยในช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2024
การบริจาค
SBF บริจาคเงินให้กับการหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของโจ ไบเดนในปี 2020 อย่างจริงจังซึ่งเป็นเงิน 5.2 ล้านดอลลาร์ ซีอีโอของ FTX ยังบริจาคเงิน 16 ล้านดอลลาร์ให้กับ PAC (คณะกรรมการดำเนินการทางการเมือง) ในปี 2022 อย่างไรก็ตาม สิ่งต่างๆ มันหลุดการควบคุมเมื่อเขากล่าวว่าการบริจาคของเขาในปี 2024 อาจจะสูงถึง 1 พันล้านดอลลาร์ ในระหว่างการให้สัมภาษณ์ในพอดแคสต์
ก่อนอื่น ทำการบริจาคเงิน จากนั้นก็ร่างกฏหมายฆ่า DeFi! ลองเอามาเชื่อมโยงกันดูดีมั้ย?
แต่เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เหตุผลที่มากพอที่จะบังคับให้ FTX ยื่นล้มละลาย มีนักแสดงอีกคนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งนั่นก็คือ Alameda Research
แกะกล่อง Alameda Research
Alameda Research เป็นบริษัท Quantitative Trading (บริษัทที่ลงทุนโดยใช้การวิเคราะห์เชิงปริมาณ) สำหรับสกุลเงินดิจิทัล นอกจากนี้ มันยังเป็นบริษัทในเครือของ FTX, กองทุนเฮดจ์ฟันด์, และยังเป็นผลิตผลของ SBF การขาดดุล (งบดุล) ของ Alameda เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ FTX — กระดานเทรด Crypto — ล้มละลาย Alameda Research กระตุ้นให้การล่มสลายของ FTX เกิดขึ้นเร็วยิ่งขึ้น
อย่าลืมว่า SBF เริ่มต้นด้วยการซื้อขายเชิงปริมาณก่อนที่จะเข้าสู่โลก Crypto ซึ่งบางคนก็หวังว่าเขาจะไม่เคยทำเช่นนั้น
ใครเป็นผู้ดูแล Alameda Research?
ในขณะที่ SBF วาดภาพอนาคตของ Alameda ไว้ Caroline Ellison ผู้บริหารชาวอเมริกันนั้นเป็นหัวหน้าและเป็นผู้ที่กล่าวว่า Alameda ยินดีที่จะซื้อโทเค็น FTT ของ Binance ที่ราคา 22 ดอลลาร์ — จากการที่ Changpeng Zhao วางแผนที่จะขายมัน
ถึงแม้จะเป็นเพียงการคาดเดา แต่ Caroline Ellison อาจจะเป็นอดีตแฟนสาวของ SBF เธอเป็นชาวบอสตันและจบการศึกษาจากสแตนฟอร์ดด้วย และใช่ และเธอก็เป็นแฟนของ Harry Potter ด้วย แต่นั่นมันไม่สำคัญใช่ไหม ใช่มั้ยหล่ะ?
Alameda ลงทุนในบริษัทใดบ้าง?
Alameda เป็นผู้ลงทุน DeFi รายใหญ่มาโดยตลอด และนั่นไม่สอดคล้องกับกฏหมายฆ่า DeFi เลย! รายงานล่าสุดระบุว่า Alameda มีการลงทุนใน Messari, Coin98, Voyager, Zenlink และบริษัทอื่นๆ อีกหลายแห่ง ข้อมูลจาก Crunchbase แสดงให้เห็นว่า Alameda ทำการลงทุนเกือบ 185 ครั้งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยมี Fordefi เป็นหนึ่งในนั้น
Alameda ยังเป็นที่รู้จักในการสร้างข้อตกลง DeFi ในระบบนิเวศของ Solana และ Ethereum
นี่คือการวิเคราะห์จาก Lookonchain แพลตฟอร์มการวิเคราะห์บนเครือข่าย โดยอ้างถึงการถือครอง DeFi:
IDOs และการปั่นราคา
เราได้พูดไปแล้วว่า Alameda เป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์ใช่ไหม? บริษัทที่ทำเงินโดยขึ้นอยู่กับความผันผวนของความเคลื่อนไหวของราคาที่เกี่ยวข้องกับ Crypto บางตัวหรือ Crypto ทั้งหมด!
และมีการสันนิษฐานว่า Alameda ใช้เงินของ FTX ซึ่งเป็นเงินที่ลูกค้าฝากเข้ามา เพื่อทำการซื้อขาย เงินทุนของลูกค้าเป็นหลักประกัน เรื่องที่ก่อให้เกิดปัญหามากที่สุดคือปัญหาเกี่ยวกับการเป็นเจ้าของร่วม — SBF ควบคุมทั้งกระดานเทรด Crypto FTX และการวิจัยของ Alameda
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Alameda ได้รับสะเก็ดระเบิด:
เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2022 Sasha Ivanov — CEO ของ Waves — กล่าวหา Alameda ว่าเป็นผู้ปั่นราคาของโทเค็น WAVES Sasha กล่าวว่า Alameda จงใจทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นเพื่อทำการขายชอร์ต ซึ่งก็คือการขายในราคาที่สูงขึ้นแล้วซื้อในราคาที่ต่ำกว่าเมื่อมูลค่าของ Crypto ลดลง กรณีคลาสสิกของการปั่นราคาในตลาด หลายๆ คนคงจะพูดอย่างนั้น!
อย่างไรก็ตาม เรื่องยังไม่ได้จบเพียงแค่นั้น ในเดือนตุลาคม 2022 Rooter ผู้ก่อตั้ง Solend อ้างว่า Alameda Research ส่งเงินกว่า 100 ล้านดอลลาร์ในกองทุนระหว่างการเปิด IDO เดือนพฤศจิกายน 2021 เพียงเพื่อเพิ่มมูลค่าตลาด และเกือบ 80 ล้านเหรียญไม่สามารถขายได้ในที่สุด
ตอนนี้ นักแสดงของเราทุกคนมาพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว: FTX, Sam Bankman-Fried CEO ของ FTX, FTT โทเค็นดั้งเดิมของ FTX และ Alameda Research ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ตอนนี้ เรามาเชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ กันดีกว่า
อธิบายถึงการล่มสลายของ FTX
มันมีการต่อต้าน SBF จากชุมชน Crypto ที่ต่อต้าน SBF หลังจากที่ร่างกฏหมาย DeFi ถูกเปิดเผยออกมา Changpeng Zhao CEO ของ Binance วิพากษ์วิจารณ์ถึงจุดยืนของเขา ซึ่งในวันที่ 29 ตุลาคม 2022 SBF ทวีตตอบโต้ว่าเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นที่จะได้เห็น CZ เป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมใน DC แต่คำถามคือ CZ จะได้ไป DC ด้วยเหรอ?
เรื่องนี้ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางการเมือง เนื่องจาก CZ เกิดในประเทศจีน และ SBF มาจากสหรัฐอเมริกา แต่นั่นไม่ใช่จุดเริ่มต้นของการต่อสู้ระหว่างเจ้าพ่อ Crypto ด้วยซ้ำไป
ในปี 2019 Binance เป็นหนึ่งในนักลงทุนรายแรกๆ ใน FTX เนื่องจากพวกเขามองเห็นศักยภาพ เมื่อ FTX เติบโตขึ้น Binance เลือกที่จะถอนการลงทุน — โดยพิจารณาว่า FTX เป็นภัยคุกคาม (การคาดเดา) — โดยออกด้วยโทเค็นมูลค่า 2.1 พันล้านดอลลาร์เป็น FTT และ BUSD
ไทม์ไลน์ของการล่มสลายของ FTX
CoinDesk เปิดเผยข้อมูล
ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นเมื่อ CoinDesk สามารถเข้าถึงงบดุลของ Alameda ได้ มีการเปิดเผยเรื่องที่น่าตกใจบางประการ:
- FTT กลายเป็นสินทรัพย์กลุ่มใหญ่ที่ Alameda ถือครอง บริษัทมีสินทรัพย์โดยรวมเป็นจำนวน 1.46 หมื่นล้านดอลลาร์ จากข้อมูลที่รายงาน
- FTT มีมูลค่า 6.1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าปริมาณอุปทานหมุนเวียนทั้งหมดของ FTT อย่างน้อย 1 พันล้านดอลลาร์
- สินทรัพย์ขนาดใหญ่ที่ Alameda ถือครองอื่นๆ ก็รวมถึงโทเค็น SOL — 863 ล้านที่ถูกล็อกไว้และ 292 ล้านดอลลาน์ที่ปลดล็อกแล้ว
นั่นหมายความว่าสายสัมพันธ์ระหว่าง Alameda และ FTX ค่อนข้างแข็งแกร่ง เทียบกับสิ่งที่ SBF เน้นย้ำมานาน นอกจากนี้ มันยังอาจจะหมายความว่า Alameda สร้างขึ้นมาจาก FTT ของลูกค้า ซึ่ง FTX ทำให้พวกเขาซื้อมันเป็นส่วนลดค่าธรรมเนียมการซื้อขาย
นอกจากนี้ ในเดือนกรกฎาคม Binance ได้ยกเลิกค่าธรรมเนียมการซื้อขายทั้งหมดจากคู่ BTC ซึ่งทำให้ผู้คนจำนวนมากจากกระดานเทรดอื่นๆ เข้ามาที่ Binance การทำให้ FTT เป็นข้อเสนอส่วนลดอาจจะเป็นแผนการของ SBF ที่จะตอบโต้เรื่องดังกล่าว ถึงแม้ว่าจะมีแรงจูงใจที่ใหญ่กว่าก็ตาม
Changpeng Zhao เข้าร่วมวงสนทนา
ไม่กี่วันหลังจากที่ CoinDesk เปิดเผยข้อมูล Changpeng Zhao ใช้ Twitter และกล่าวว่าเนื่องจาก “การเปิดเผยล่าสุด” Binance ได้ตัดสินใจที่จะขายโทเค็น FTT ที่เขามีอยู่ออกไป
เรื่องนี้ทำให้เกิดการเทขายทั่วทั้งตลาด ซึ่งส่งผลกระทบต่อราคา FTT อย่างรุนแรง
Caroline Ellison — CEO ของ Alameda — พยายามจะตั้งค่า Buy Net โดยกล่าวว่า Alameda ยินดีที่จะซื้อโทเค็น FTT ทั้งหมดในราคา 22 ดอลลาร์ต่อเหรียญ แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วย FTT เริ่มที่จะร่วงอย่างรุนแรงและหลายๆ สถานะก็เริ่มถูกชำระบัญชี
เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2022 ราคา FTT ก็ลดลงมาต่ำกว่า 22 ดอลลาร์ สถานการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ก็เริ่มขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
SBF ทวีต
เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2022 SBF ทวีตว่าสินทรัพย์ FTX นั้นปกติดี แต่ทวีตนั้นก็ไม่อยู่แล้ว
แม้แต่ทวีตเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ที่ระบุว่า FTX ไม่ได้นำเงินของลูกค้าไปลงทุนก็ไม่เหลืออยู่อีกต่อไป และทวีตที่ถูกลบไปนั้นก็ไม่ใช่เรื่องดีเลย!
ถึงตอนนี้ โทเค็น FTT สูญเสียมูลค่าไปแล้ว 83% และมูลค่าสุทธิของ SBF ลดลงเหลือ 991 ล้านดอลลาร์จาก 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ถึงตอนนี้ การล่มสลายของ FTX ก็ใกล้เข้ามาแล้ว
ซื้อหรือไม่ซื้อ
การที่ FTT สูญเสียมูลค่าของมันทำให้เกิดความกังวลด้านสภาพคล่องสำหรับทั้ง Alameda และ FTX และความตื่นตระหนกเริ่มส่งผลกระทบต่อสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ รวมถึง BTC และ ETH ช่วงเวลานั้น SBF ทวีตว่า FTX และ Binance ได้บรรลุข้อตกลงเชิงกลยุทธ์แล้ว
สำหรับเรื่องนี้ Changpeng Zhao ทวีตและกล่าวว่าพวกเขากำลังวางแผนที่จะซื้อ FTX อย่างสมบูรณ์ — ช่วยเหลือพวกเขาและตลาดทั้งหมดจากความกังวลเรื่องสภาพคล่อง อย่างไรก็ตาม ชะตากรรมของข้อตกลงนี้ขึ้นอยู่กับการสอบทานธุรกิจและการพิจารณาว่าบัญชีทรัพย์สิน FTX เป็นอย่างไร นอกจากนี้ หนังสือแสดงเจตจำนงที่ CZ ลงนามนั้นไม่มีผลผูกพัน — หมายความว่ายังมีตัวเลือกในการถอนตัวเสมอ
ถึงตอนนี้ ลูกค้าเริ่มมีปัญหากับการถอนเงินที่ FTX SBF ส่งข้อความถึงพนักงานของเขาว่าในช่วง 3 วันที่ผ่านมา FTX ได้มีการถอนเงินไปแล้ว 6 พันล้านดอลลาร์ และด้วยเหตุนี้จึงจะต้องทำการระงับการถอนชั่วคราวในระยะเวลาอันใกล้นี้
หลังจากเห็นว่างบดุลของ FTX ไม่ได้ใสสะอาด Binance ก็ถอนตัวออกจากข้อตกลง ปล่อยให้ผู้เล่นในตลาด Crypto ดูแลตัวเอง
นี่คือสิ่งที่ Binance ทวีต:
และแม้ว่าดูเหมือนว่า FTX.US จะมีภูมิคุ้มกันต่อวิกฤตสภาพคล่องในตอนแรกก็ตาม แต่หลังจาก FTX ยื่นล้มละลาย มันก็ไม่รอดเช่นกัน
<aside> 💡 หากคุณยังใหม่กับ Crypto และยังอยู่ในช่วงการเลือกกระดานเทรดของคุณ ทำให้แน่ใจว่าได้ตรวจสอบ Proofs of Reserves และศึกษาบทวิจารณ์ต่างๆ อย่างรอบคอบ เราขอแนะนำให้อ่าน: 10 กระดานเทรด Crypto ที่ดีที่สุดสำหรับมือใหม่
</aside>
ใครบ้างที่ได้รับผลกระทบจากการล่มสลายของ FTX
ผลกระทบที่ย่ำแย่ของ FTX ยังคงแพร่กระจายออกไป และหลายๆ บริษัทที่เคยได้รับเงินลงทุนจาก FTX และ Alameda Research ได้เริ่มแสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ที่ยากลำบาก FTX พร้อมด้วย Alameda Research และบริษัทในเครืออีก 130 แห่ง ได้ยื่นคำร้องขอบรรเทาทุกข์ตามมาตรา 11 หรือล้มละลายเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2022
และการยื่นล้มละลายทำให้มหากาพย์การล่มสลายของ FTX อันอลหม่านสิ้นสุดลง Solana และราคาโทเค็น SOL ลดลงอย่างรวดเร็ว โดยลดลง 33.50% ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา ณ เวลาปัจจุบัน มีการคาดการณ์ว่าราคาของ Solana จะลดลงอีก ณ ตอนนี้ Solana DeFi TVL ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน – โดยลดลงกว่า 300 ล้านดอลลาร์ในช่วง 7 วันที่ผ่านมา
BlockFi — บริษัทที่ SBF เคยช่วยเหลือไว้ — ได้ยื่นล้มละลายแล้ว นอกจากนี้ Liquid Global ซึ่งเป็นกระดานเทรดที่เคยได้รับความช่วยเหลือจาก FTX ได้ระงับการถอนเงินแล้วในตอนนี้
จากการเปิดเผยล่าสุดแสดงให้เห็นว่า FTX.US ได้ขยายเครดิตเงินกู้ 250 ล้านดอลลาร์ให้กับ BlockFi และไม่ใช่ในช่วงที่ TerraUSD ล่มสลาย แต่เป็นวันที่ 30 กันยายน
และลองเดาดูสิ.. ใช่แล้ว เงินกู้ดังกล่าวเป็น FTT เมื่อได้รับความช่วยเหลือจาก FTX แล้ว BlockFi ก็ตามรอย FTX ไปใน “Hall of Bankruptcy”
รายละเอียดใหม่หลังการยื่นล้มละลายเปิดเผยว่ากระดานเทรด FTX ในปัจจุบันเป็นหนี้เจ้าหนี้เกือบ 100,000 ราย
ความเคลื่อนไหวใหม่ๆ
นอกจากนี้ Genesis — ผู้ให้บริการสินเชื่อ Crypto ชั้นนำที่อำนวยความสะดวกในการสร้างผลตอบแทนที่หลากหลายสำหรับตลาดที่กว้างขึ้น — กำลังมองหาการอัดฉีดสภาพคล่องมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ Gemini กระดานเทรดชั้นนำกำลังเห็นการไหลออกของ BTC เป็นจำนวนมาก และสุดท้าย Silvergate Capital — บริษัท Crypto ที่ตั้งอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย — ก็กำลังอาจจะเกิด Bank Run เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าพวกเขาอาจจะมีความสัมพันธ์กับ FTX และ SBF
ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม Crypto ในวงกว้าง
ถึงแม้ว่ามันจะเริ่มต้นด้วยการลดลงของมูลค่าโทเค็น FTT ผลกระทบของ FTX ในปัจจุบันก็ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ Crypto ในวงที่กว้างขึ้น นอกจากนี้ การล่มสลายของ FTX ยังเป็นการอธิบายสิ่งง่ายๆ อย่างหนึ่งให้แก่พวกเราทุกคนทราบว่าไม่ควรมีบริษัทกระดานเทรดใดที่นำเงินของลูกค้าไปใช้ในการเปิดสถานะซื้อขาย ซึ่ง CEO ของ FTX ขุดหลุมนั้นขึ้นมาเอง และตอนนี้ การล่มสลายของ FTX ได้ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ทั้งหมด เช่นเดียวกับ BTC, ETH และ SOL ที่ยังคงตกต่ำอย่างต่อเนื่อง
นี่คือไฮไลท์ของตลาด ณ วันที่ 18 พฤศจิกายน ซึ่งจะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมได้ดียิ่งขึ้น:
- Solana (SOL) ตกลงมาอยู่ในอันดับที่ 14 ตามมูลค่าตลาด โดยลงมาอยู่ตำแหน่งที่ต่ำกว่า Shiba Inu
- DeFi-Project Serum (SRM) มีราคาลดลง 40% สัปดาห์ต่อสัปดาห์ อันมีสาเหตุมาจากการที่พวกเขาได้รับการสนับสนุนจาก FTX-Alameda-Solana
- BTC และ ETH ยังคงดิ้นรนเพื่อทะลุแนวต้านที่อยู่ใกล้ๆ กับราคา 17,000 ดอลลาร์ และ 1,250 ดอลลาร์ ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่า HODLers จะไม่ได้รับผลกระทบจากการล่มสลายของ FTX เนื่องจากได้มีเหตุการณ์การถอน BTC ออกครั้งใหญ่ที่สุดในรอบสัปดาห์จากกระดานเทรดหลังจากเกิดผลกระทบดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม เวลาจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงผลกระทบจากการล่มสลายของ FTX ที่มีต่อสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ ในขณะที่เรารอให้ตลาดมีเสถียรภาพ ปัจจุบัน เงินทุนของลูกค้ายังคงเป็นข้อกังวลที่สำคัญที่สุดสำหรับอุตสาหกรรม Crypto ทั่วโลก
นี่คือสิ่งที่ Binace ทวีตในเรื่องปัญหาดังกล่าว
เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม หรือ เห็นแก่ตัว?
สถานการณ์ปัจจุบันที่เราอยู่นั้นถูกสร้างขึ้นจาก Sam Bankman-Fried ซึ่งเป็น CEO ของ FTX เพียงผู้เดียวเท่านั้น และในปัจจุบัน หลักการของเขาเกี่ยวกับการเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมก็ได้ตายลงไปแล้ว เมื่อลูกค้าหลายรายเตรียมที่จะต้องสูญเสียเงินออมทั้งชีวิตในการล่มสลายของ FTX ในครั้งนี้ และยิ่งแย่ไปกว่านั้นเมื่อราคา FTT พร้อมที่จะแตะระดับต่ำสุดตลอดกาลแล้ว
ต่อไปนี้ กระดานเทรดจะโฟกัสไปที่การแสดง “Proof-of-Reserve” มากขึ้นในอนาคต เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขาใช้เงินทุนของลูกค้าอย่างไร Binance ดูเหมือนจะเป็นผู้นำในเรื่องนี้ด้วยการประกาศว่าเงินของผู้ใช้งานจะมีอยู่ใน Cold Storage — ซึ่งเป็นกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ปลอดภัยที่สุด นอกจากนี้ การล่มสลายของ FTX ยังเป็นการยืนยันด้วยว่า “หากคุณไม่ได้ถือกระเป๋าของคุณเอง เงินนั้นก็จะไม่ใช่เงินของคุณ” ซึ่งทำให้ Proof-of-Reserve มีความสำคัญมากขึ้น
ตอนนี้ มันเป็นที่ชัดเจนว่ามันไม่ใช่การเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม มันเป็นแผนการที่จะสร้างความร่ำรวย แผนการที่ย้อนกลับมาทำร้ายเมื่อสิ่งหนึ่งได้นำไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม มหากาพย์การล่มสลายของ FTX ไม่ได้จบลงเพียงแค่นี้ มันยังคงเป็นเรื่องราวที่ยังมีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง และเราจะนำเสนอข้อมูลเชิงลึกใหม่ๆ ต่อไปเมื่อมีข้อมูลอื่นๆ ปรากฏขึ้นมา
คำถามที่พบบ่อย
ทำไม FTX ถึงถังแตก?
FTX ล่มสลายได้อย่างไร?
FTX ถูกต้องตามกฎหมายในสหรัฐอเมริกาหรือไม่?
เหตุใด FTX จึงล่มสลาย?
เกิดอะไรขึ้นกับ FTX?
ผู้คนจะสูญเสียเงินใน FTX ไปหรือไม่?
FTX เชื่อถือได้หรือไม่?
ข้อจำกัดความรับผิด
ข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่บนเว็บไซต์ของเราเผยแพร่ด้วยเจตนาที่ดีและเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น การกระทำใด ๆ ที่ผู้อ่านดำเนินการตามข้อมูลที่พบบนเว็บไซต์ของเราถือเป็นความเสี่ยงของผู้อ่านโดยเฉพาะ Learn ให้ความสำคัญกับข้อมูลคุณภาพสูง เราอุทิศเวลาให้กับการแยกแยะ ค้นคว้า และสร้างเนื้อหาเพื่อการศึกษาซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน เพื่อเป็นการรักษามาตรฐานนี้และเพื่อสร้างเนื้อหาคุณภาพได้อย่างต่อเนื่อง พาร์ตเนอร์ของเราอาจตอบแทนเราด้วยค่าคอมมิชชั่นสำหรับการจัดวางตำแหน่งต่าง ๆ ในบทความของเรา อย่างไรก็ดี ค่าคอมมิชชั่นนี้ไม่มีผลต่อกระบวนการของเราในการสร้างเนื้อหาที่ไร้อคติ ตรงไปตรงมา และเป็นประโยชน์