- รูปแบบแท่งเทียนขาขึ้น คืออะไร?
- วิธีการระบุ รูปแบบแท่งเทียนขาขึ้น
- ตัวอย่างของรูปแบบการกลับตัวเป็นขาขึ้น
- ตัวอย่างของรูปแบบต่อเนื่องขาขึ้น
- รูปแบบแท่งเทียนแบบใดที่เป็น “ขาขึ้น” มากที่สุด?
- “กลยุทธ์และเครื่องมือในการเทรด” ที่ควรใช้ควบคู่ไปกับ “รูปแบบแท่งเทียนขาขึ้น”
- ไม่ควรใช้ “รูปแบบแท่งเทียน” เพียงอย่างเดียวในการวิเคราะห์
- คำถามที่พบบ่อย
การวิเคราะห์ทางเทคนิค เป็น เครื่องมือที่สำคัญในกล่องเครื่องมือของนักเทรดคริปโต ที่จะช่วยในการค้นหาระดับราคาที่เหมาะสมในการเข้าและออกในการซื้อขายสกุลเงินคริปโต ในบทความนี้ เราจะมาดูกันที่ รูปแบบแท่งเทียนขาขึ้น ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค ที่เหล่านักเทรดใช้เพื่อตรวจสอบเทรนด์ขาขึ้นในตลาดคริปโต ถ้าพร้อมแล้ว ไปกันเลย!
เข้าร่วม BeInCrypto Trading Community บน Telegram: พูดคุยกันเกี่ยวกับเทรนด์ของตลาดซื้อขาย รับชมคอร์สพื้นฐานการซื้อขายฟรี และสอบถามข้อมูลต่างๆ ที่คุณต้องการจากทีมงานนักเทรดมืออาชีพของเรา! มาเข้าร่วมกันเลย!
หลักสูตรออนไลน์ชั้นนำในหัวข้อ “แท่งเทียน & การวิเคราะห์ทางเทคนิค”
คู่มือการวิเคราะห์แท่งเทียนฉบับสมบูรณ์
การวิเคราะห์ทางเทคนิค: เคล็ดลับการอ่านแท่งเทียนเพื่อการซื้อขาย
มาสเตอร์คลาสในการอ่านแท่งเทียนเพื่อการซื้อขาย 2023
รูปแบบแท่งเทียนขาขึ้น คืออะไร?
รูปแบบแท่งเทียนขาขึ้น (Bullish Candlestick Patterns) คือ สิ่งที่ส่งสัญญาณว่าตลาดกระทิงกำลังจะมาถึง ช่วยให้นักเทรดสามารถวางกลยุทธ์สำหรับสิ่งที่ควรจะทำต่อไปได้ โดยปกติแล้ว รูปแบบแท่งเทียนขาขึ้นมักจะเกิดขึ้นหลังจากที่ราคาของสินทรัพย์ใดๆ มีความเคลื่อนไหวในขาลงอย่างต่อเนื่อง
ลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่งของตลาดกระทิงก็คือ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้น และสินทรัพย์จะถือว่าอยู่ในตลาดกระทิง หากราคาของสินทรัพย์ฟื้นตัว 20% หรือมากกว่าจากจุดต่ำสุดของตลาด นั่นจึงเป็นที่มาของคำว่า “ตลาดกระทิง” มาจากลักษณะของการโจมตีของกระทิงที่จะโจมตีเหยื่อของพวกมันด้วยการแทงเขาขึ้น ซึ่งเป็นการเปรียบเปรยกับการเพิ่มขึ้นของราคาสินทรัพย์ ราวกับกว่ากระทิงได้ผลักดันราคาให้สูงขึ้นไป โดยทั่วไปแล้ว สภาวะตลาดกระทิงนั้นอาจจะอยู่ได้นานเป็นเดือนหรือเป็นปีเลยทีเดียว
วิธีการระบุ รูปแบบแท่งเทียนขาขึ้น
เราจะสามารถระบุรูปแบบแท่งเทียนขาขึ้นได้ง่ายขึ้นเมื่อผ่านการฝึกฝน มือใหม่สามารถฝึกฝนในการระบุรูปแบบเหล่านี้ ได้ด้วยการเปิดแดชบอร์ดตลาดซื้อขายคริปโตแบบสปอตใดๆ เพื่อสังเกตรูปแบบราคาที่เกิดขึ้นก่อนหน้า
และถึงแม้ว่าการเรียนรู้ที่จะสังเกตรูปแบบแท่งเทียนขาขึ้นนั้นมีความสำคัญ แต่เราก็ไม่ควรที่จะพึ่งพามันเพียงอย่างเดียวเพื่อตัดสินใจ มันยังมีสัญญาณต่างๆ อีกมากมายที่เราจะต้องให้ความสำคัญ เช่น ระดับแนวรับและแนวต้าน อารมณ์ของตลาด เส้นแนวโน้ม และกลยุทธ์การซื้อขายอื่นๆ เช่น ทฤษฏี Wyckoff เพื่อคาดการณ์ความเคลื่อนไหวของราคา
คุณสามารถเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในตลาดคริปโตที่มีความผันผวนสูงได้ผ่าน Grid Trading? Grid Trading คือกลยุทธ์การเทรดด้วยบอทที่จะ “เปิดออเดอร์ในช่วงราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า” ให้คุณโดยอัตโนมัติ
สัญญาณต่างๆ จากรูปแบบแท่งเทียนขาขึ้นอาจจะเป็นได้ทั้ง สัญญาณของการกลับตัวของเทรนด์ หรือ ความต่อเนื่องของเทรนด์ ที่มีต่อราคาของสินทรัพย์ก็ได้ การกลับตัวเป็นขาขึ้น (Bullish Reversal) นั้นหมายความว่า เทรนด์ขาลงกำลังจะกลับตัวเป็นเทรนด์ขาขึ้นในไม่ช้า ในทางกลับกัน รูปแบบต่อเนื่องขาขึ้น (Bullish Continuation) นั้นหมายความว่า เทรนด์ขาขึ้นจะดำเนินต่อไป หลังจากที่เกิดการหยุดชั่วคราวและเกิดการ Breakout (การที่ราคาที่การวิ่งทะลุแนวรับหรือแนวต้านไปได้ โดยทั่วไปจะใช้ในการวิ่งทะลุแนวต้าน) ออกไป
โดยทั่วไปแล้ว แท่งเทียนขาขึ้น (Bullish Candlesticks) จะเป็นสีเขียวหรือสีขาว อย่างไรก็ตาม รูปแบบแท่งเทียนขาขึ้นที่มีแท่งเทียนมากกว่าหนึ่งแท่ง อาจจะมีได้ทั้งแท่งเทียนขาขึ้นและขาลง แท่งเทียนขาลง (Bearish Candlesticks) เป็นแท่งเทียนที่แสดงถึงการลดลงของราคา และโดยปกติแล้วแสดงออกมาเป็นสีแดงหรือสีดำ แท่งเทียนนั้นจะแสดงให้เห็นถึงราคาเปิด ราคาปิด ราคาสูงสุด และราคาต่ำสุดของสินทรัพย์ที่มีการซื้อขายในช่วงระยะเวลานั้นๆ นี่คือตัวอย่างองค์ประกอบของแท่งเทียน ทั้งขาขึ้นและขาลง:
ตัวอย่างของรูปแบบการกลับตัวเป็นขาขึ้น
ดังที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ รูปแบบการกลับตัวเป็นขาขึ้น จะบ่งบอกถึงการที่เทรนด์ขาลงของราคาสินทรัพย์ มีโอกาสที่จะกลับตัวเป็นขาขึ้น ซึ่งจะทำให้ราคาสูงขึ้นในไม่ช้า และต่อไปนี้คือ รูปแบบการกลับตัวเป็นขาขึ้นบางส่วน พร้อมคำอธิบายรูปแบบของมัน
Bullish Engulfing
รูปแบบ Bullish Engulfing เป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าอาจจะเกิดการกลับตัวของเทรนด์ เนื่องจากมีแรงซื้อที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งหมายความว่าผู้ซื้อได้เข้าสู่ตลาดมากยิ่งขึ้น และมีแนวโน้มที่ราคาสินทรัพย์จะเพิ่มมากยิ่งขึ้น
รูปแบบ Bullish Engulfing จะเกิดขึ้นหลังจากเทรนด์ขาลง โดยจะเกิดขึ้นเมื่อแท่งเทียนขาขึ้น (สีเขียวหรือสีขาว) ขนาดใหญ่กว่า “กลืนกิน” แท่งเทียนขาลงที่มีขนาดเล็กกว่าที่อยู่ก่อนหน้า (หรือพูดง่ายๆ แท่งเทียนขาขึ้นแท่งที่ 2 ที่ตามมาหลังจากแท่งเทียนขาลงแท่งแรก มีขนาดของแท่งเทียนใหญ่กว่า ครอบคลุมทั้งราคาเปิดและราคาปิดของแท่งเทียนขาลงแท่งแรก) นักเทรดอาจจะต้องรอให้แท่งเทียนขาขึ้นขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในแท่งต่อไปก่อนที่จะยืนยันรูปแบบนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น นักเทรดที่ระมัดระวังตัวมากกว่าอาจจะต้องรอจนกว่า แท่งเทียนถัดไปจะปิดราคาสูงกว่าราคาปิดของแท่งเทียนขนาดใหญ่ ก่อนที่จะเข้าซื้อสินทรัพย์เหล่านี้
เพื่อยืนยันรูปแบบนี้ นักเทรดควรจะตรวจสอบให้แน่ใจว่า แท่งเทียนสีดำ/สีแดงขนาดเล็กนั้นปรากฏอยู่ที่จุดต่ำสุดของเทรนด์ขาลง นอกจากนี้ มันควรจะเป็นเทรนด์ขาลงอย่างชัดเจนด้วย (ตามตัวอย่างจากรูปด้านบน) นักเทรดจะต้องยืนยันให้แน่ชัดว่า แท่งเทียนขาขึ้นสีเขียว/สีขาวได้ “ครอบคลุม” แท่งเทียนขาลงสีดำ/สีแดงขนาดเล็กอย่างสมบูรณ์แล้ว แท่งเทียนขาขึ้นที่สูงมากจะเป็นการส่งสัญญาณ ถึงการเป็นรูปแบบแท่งเทียนขาขึ้นที่แข็งแกร่ง
Hammer
Hammer เป็นรูปแบบของแท่งเทียนเดี่ยวที่อยู่ที่จุดล่างสุดของเทรนด์ขาลง โดยจะมีขนาดแท่งเทียนที่สั้น และ มีไส้เทียนด้านล่างที่ยาว ทำให้มันมีรูปร่างเหมือน “ค้อน” ที่ตั้งตรงอยู่ Hammer เป็นรูปแบบของการกลับตัว ซึ่งบ่งบอกว่าผู้ซื้อเริ่มสร้างความกดดันต่อแรงขาย และราคาสินทรัพย์อาจจะเริ่มไต่ขึ้นได้อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม นักเทรดควรจะต้องรอการยืนยันก่อนที่จะเข้าทำการซื้อขายใดๆ ตัวอย่างเช่น รอให้แท่งเทียนขาขึ้นปรากฏขึ้นหลังจากนั้นก่อน
รูปแบบ Inverted Hammer ก็เป็นอีกหนึ่งรูปแบบที่บ่งบอกว่า ผู้ซื้อจะเข้าครองตลาดได้ในไม่ช้า และราคาอาจจะพุ่งสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม รูปแบบ Inverted Hammer จะมีไส้เทียนด้านบนที่ยาวและมีขนาดแท่งเทียนที่สั้น ดังนั้น รูปร่างของมันจึงคล้ายกับ “ค้อนคว่ำ” รูปแบบ Inverted Hammer นั้นอาจจะมีไส้เทียนด้านล่างเล็กน้อยหรือไม่มีเลยก็ได้
Morning Star
รูปแบบ Morning Star จะประกอบไปด้วยแท่งเทียน 3 แท่ง โดยแท่งกลางจะมีรูปร่างคล้ายดาว มันเป็นการเตือนนักเทรดว่า เทรนด์ขาลงอาจจะมาถึงจุดต่ำสุดแล้ว และอาจจะเกิดการกลับตัวในไม่ช้า เทียนแท่งแรกในรูปแบบนี้จะเป็น แท่งเทียนขาลงที่มีขนาดแท่งเทียนที่ยาว ซึ่งบ่งบอกว่าราคาสินทรัพย์กำลังอยู่ในเทรนด์ขาลง
เทียนแท่งที่ 2 จะเป็นแท่งเทียนที่มีขนาดที่สั้น คล้ายรูปดาว ซึ่งบ่งบอกถึงความไม่แน่นอน ในขณะที่เทียนแท่งที่ 3 จะเป็นแท่งเทียนขาขึ้นที่มีขนาดแท่งเทียนที่ยาว ปิดราคาเหนือจุดกึ่งกลางของแท่งเทียนแท่งแรก และยิ่งช่องว่างระหว่างแท่งเทียนแท่งกลางห่างจากเทียนทั้ง 2 ข้างเพียงใด จะเป็นการบ่งบอกถึงสัญญาณการกลับตัวที่แข็งแกร่งเท่านั้น
Piercing
รูปแบบ Piercing จะส่งสัญญาณของการกลับตัวจากเทรนด์ขาลงเป็นขาขึ้น รูปแบบนี้จะประกอบไปด้วย แท่งเทียนขาลงยาวในแท่งแรก ซึ่งหมายความว่าผู้ขายเป็นผู้ที่ครอบครองตลาดอยู่ ในแท่งต่อมา จะตามมาด้วยแท่งเทียนขาขึ้นที่มีขนาดแท่งที่ยาว เป็นการส่งสัญญาณว่ามีการตอบรับที่ดีจากผู้ซื้อ แท่งเทียนแท่งที่ 2 นั้นจะปิดราคาอยู่เหนือจุดกึ่งกลางของแท่งเทียนแท่งแรก ซึ่งเป็นสัญญาณว่าผู้ซื้อเริ่มเข้าครอบครองตลาดแล้ว
Bullish Harami
รูปแบบ Bullish Harami จะประกอบไปด้วยแท่งเทียน 2 แท่งที่แสดงให้เห็นว่า เทรนด์ขาลงกำลังจะสิ้นสุดลง แท่งเทียนแท่งแรกจะมีขนาดแท่งที่ใหญ่กว่าครอบคลุมแท่งเทียนแท่งที่ 2
แท่งเทียนแท่งแรกนั้นจะเป็นแท่งเทียนขาลง ในขณะที่แท่งที่ 2 นั้นจะเป็นแท่งเทียนขาขึ้น นักเทรดจะยืนยันรูปแบบนี้ได้เมื่อ แท่งเทียนแท่งที่ 2 เปิดขึ้นเหนือแท่งเทียนแท่งแรก ในขณะที่ยังคงอยู่ในระยะของแท่งเทียนแท่งแรก เทียนแท่งที่ 2 นี้อาจจะมีรูปร่างเหมือน Doji หรือ Spinning Top Doji นั้นจะส่งสัญญาณถึงจุดที่ขาขึ้นและขาลงมาบรรจบกัน มันไม่มีตัวแท่งเทียนเนื่องจากราคาเปิดและปิดนั้นเป็นราคาเดียวกัน ในทางกลับกัน Spinning Top จะเป็นเทียนที่มีตัวแท่งเทียน โดยอาจจะมีขนาดเล็ก และมีไส้เทียนที่ยาวเท่ากันทั้งด้านล่างและด้านบน
ตัวอย่างของรูปแบบต่อเนื่องขาขึ้น
รูปแบบเหล่านี้จะบ่งบอกถึง เทรนด์ขาขึ้นที่อาจจะดำเนินต่อไป หลังจากที่เกิดการหยุดชั่วคราวและเกิดการ Breakout ออกไป และต่อไปนี้คือ รูปแบบต่อเนื่องขาขึ้นบางส่วน พร้อมคำอธิบายรูปแบบของมัน
Bullish Marubozu
รูปแบบ Bullish Marubozu นั้นสามารถมองเห็นได้ง่ายๆ เนื่องจากมันเป็นเทียนแท่งเดียวที่มีตัวแท่งเต็มตัว และเนื่องจากมันไม่มีไส้เทียน Bullish Marubozu จึงดูเหมือนบล็อกสี่เหลี่ยมที่มีสีเขียว(หรือขาว) รูปแบบนี้เป็นการส่งสัญญาณว่า การซื้อขายสินทรัพย์กำลังเป็นไปในทิศทางเดียว แท่งเทียนนี้อาจจะนำไปสู่เทรนด์ขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง
รูปแบบ Bullish Marubozu เป็นการส่งสัญญาณว่าผู้ซื้ออยู่ในการควบคุมระหว่างการก่อตัวของแท่งเทียน ราคาของมันเปิดที่จุดต่ำสุดและปิดที่จุดสูงสุด นักเทรดมักจะไม่ค่อยได้เห็น Bullish Marubozu ด้วยตัวมันเอง ดังนั้น มันจึงมีโอกาสที่จะเป็นขาขึ้นอย่างมากเมื่อรูปแบบนี้ปรากฏขึ้น
Rising Three Methods
Rising Three Methods คือ รูปแบบต่อเนื่องขาขึ้นที่เกิดขึ้นในช่วงเทรนด์ขาขึ้น ซึ่งประกอบไปด้วยแท่งเทียนอย่างน้อย 5 แท่ง (อาจจะมีมากกว่านั้นได้) รูปแบบ Rising Three Methods จะเกิดขึ้นเมื่อเกิดแท่งเทียนขาขึ้นที่มีขนาดแท่งที่ยาว ตามมาด้วยแท่งเทียนขาลงที่มีขนาดแท่งที่สั้น 3 แท่งหรือมากกว่า โดยขนาดของแท่งเทียนทั้ง 3 แท่ง(รวมกัน)จะอยู่ในช่วงที่ไม่เกินไปกว่าช่วงราคาสูงสุดและต่ำสุดของเทียนแท่งแรก นักเทรดสามารถระบุรูปแบบนี้ได้เมื่อ แท่งเทียนแท่งที่ 5 เป็นแท่งเทียนขาขึ้น และ ปิดราคาเหนือแท่งเทียนก่อนหน้า
แท่งเทียนขาขึ้นแท่งแรก เป็นสิ่งที่บ่งชึ้ว่าเทรนด์ขาขึ้นมีความแข็งแกร่ง ในขณะที่แท่งเทียนขาลงทั้ง 3 แท่งจะบ่งบอกถึงการชะลอตัวของราคา อย่างไรก็ตาม แรงขายไม่สามารถกดให้ราคาลงไปอยู่ต่ำกว่าแท่งเทียนแท่งแรกได้ ส่งผลให้เทรนด์ขาขึ้นกลับมาอีกครั้ง ก่อให้เกิดแท่งเทียนขาขึ้นแท่งที่ 5
รูปแบบแท่งเทียนแบบใดที่เป็น “ขาขึ้น” มากที่สุด?
รูปแบบแท่งเทียนขาขึ้น ที่น่าเชื่อถือมากที่สุดนั้น อาจจะแตกต่างกันออกไปในมุมมองของนักเทรดแต่ละคน จากข้อมูลของ Investopedia รูปแบบ Bullish Engulfing เป็นหนึ่งในรูปแบบแท่งเทียนที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะมันง่ายต่อการระบุ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดในการยืนยันความเป็นแท่งเทียนขาขึ้นก็คือ การศึกษาแท่งเทียนที่เกิดขึ้นตามมาให้ดี ก่อนที่จะตัดสินใจทำการซื้อขายใดๆ เราควรที่จะใช้ ตัวชี้วัดด้านโมเมนตัมต่างๆ รวมไปถึง กลยุทธ์การเทรดต่างๆ ควบคู่ไปกับ รูปแบบแท่งเทียนขาขึ้น เหล่านี้เพื่อช่วยในการยืนยันถึงความถูกต้องของทิศทางของราคาที่อาจจะเกิดขึ้น
แต่ถึงแม้ว่าเราจะใช้เครื่องมือและรูปแบบต่างๆ ช่วยในการวิเคราะห์ทางเทคนิค เพื่อคาดการณ์ถึงทิศทางของราคาสินทรัพย์แล้วก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้เป็นการรับประกันความถูกต้องแต่อย่างใด
“ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีใครรู้หรอกว่า มันจะเกิดอะไรขึ้นในตลาด” Peter Brandt นักเทรดมืออาชีพได้กล่าวเอาไว้
“กลยุทธ์และเครื่องมือในการเทรด” ที่ควรใช้ควบคู่ไปกับ “รูปแบบแท่งเทียนขาขึ้น”
ดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ การที่เราจะใช้ รูปแบบแท่งเทียนขาขึ้น เพื่อช่วยในการวิเคราะห์ราคาเพียงอย่างเดียวนั้น ดูจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่ ดังนั้น เราจะขอแนะนำ กลยุทธ์และเครื่องมือในการเทรด ที่คุณสามารถใช้ควบคู่ไปกับรูปแบบแท่งเทียนขาขึ้นได้:
Relative Strength Index (RSI)
Relative Strength Index หรือ RSI เป็น Momentum Indicator ที่นิยมใช้เพื่อระบุถึงความแข็งแกร่งของความเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ ณ ช่วงเวลานั้นๆ ซึ่งเป็นค่าตั้งแต่ 0 ถึง 100 โดยตลาดจะอยู่ในโซน Oversold (ขายมากเกินไป) เมื่อ RSI มีค่า 30 หรือต่ำกว่า เป็นสัญญาณว่าราคาอาจจะพุ่งสูงขึ้นได้ ในขณะที่ เมื่อ RSI อยู่ในค่า 70 หรือมากกว่า ตลาดก็จะอยู่ในโซน Overbought (ซื้อมากเกินไป) และราคาอาจจะลดลงได้
Moving Average Convergence Divergence (MACD)
MACD เป็น Momentum Indicator ที่ใช้ระบุว่า เทรนด์ของราคาสินทรัพย์เป็นขาขึ้นหรือขาลง MACD ใช้เปรียบเทียบความเคลื่อนไหวของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ EMA 2 ตัว โดยจะประกอบด้วยเส้น MACD และ Signal ซึ่งเมื่อเส้น MACD ขยับลงไปอยู่ใต้เส้น Signal เป็นการบ่งบอกว่า ราคากำลังจะลดลง และในทางกลับกัน หากเส้น MACD ขยับขึ้นไปอยู่เหนือเส้น Signal หมายความว่า ราคากำลังจะเพิ่มสูงขึ้น
การจัดการความเสี่ยงด้วยการตั้ง Stop-Loss ให้กับคำสั่งซื้อขาย
การบริหารความเสี่ยงด้วยการตั้ง Stop-Loss ให้กับคำสั่งซื้อขายจะช่วยลดโอกาสในการสูญเสียระหว่างทำการซื้อขายได้ การตั้ง Stop-Loss ให้กับคำสั่งซื้อขาย คือ การกำหนดให้กระดานเทรดทำการซื้อหรือขายสินทรัพย์ดิจิทัล เมื่อมันไปถึงราคาที่กำหนดไว้ นอกจากจะลดการสูญเสียได้แล้ว การตั้ง Stop-Loss ยังช่วยให้นักเทรดกำหนดกำไรที่ทำได้ ไม่ต้องมานั่งตรวจสอบราคาสินทรัพย์บ่อยๆ และทำการซื้อขายโดยไม่ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งได้
ไม่ควรใช้ “รูปแบบแท่งเทียน” เพียงอย่างเดียวในการวิเคราะห์
รูปแบบแท่งเทียนเหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับใช้เพื่อสังเกตแนวโน้มของราคา อย่างไรก็ตาม เพื่อที่จะให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด เราควรจะใช้มันควบคู่ไปกับตัวชี้วัดด้านโมเมนตัม และกลยุทธ์การซื้อขายต่างๆ
นอกจากนี้ คุณยังควรที่จะจับตาดูข่าวที่จะส่งผลให้เกิดความเคลื่อนไหวต่างๆ ในตลาดอีกด้วย เพราะไม่มีเครื่องมือวิเคราะห์กราฟใดๆ ที่จะคาดการณ์ได้ว่า ตลาดจะตอบสนองอย่างไรต่อพาดหัวข่าวใหญ่ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อตลาด
คำถามที่พบบ่อย
แท่งเทียนขาขึ้นมีรูปร่างเป็นอย่างไร?
รูปแบบแท่งเทียนแบบไหนที่ดีที่สุด?
รูปแบบแท่งเทียนขาขึ้นคืออะไร?
รูปแบบ Bullish Marubozu บ่งบอกอะไรได้?
ข้อจำกัดความรับผิด
ข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่บนเว็บไซต์ของเราเผยแพร่ด้วยเจตนาที่ดีและเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น การกระทำใด ๆ ที่ผู้อ่านดำเนินการตามข้อมูลที่พบบนเว็บไซต์ของเราถือเป็นความเสี่ยงของผู้อ่านโดยเฉพาะ Learn ให้ความสำคัญกับข้อมูลคุณภาพสูง เราอุทิศเวลาให้กับการแยกแยะ ค้นคว้า และสร้างเนื้อหาเพื่อการศึกษาซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน เพื่อเป็นการรักษามาตรฐานนี้และเพื่อสร้างเนื้อหาคุณภาพได้อย่างต่อเนื่อง พาร์ตเนอร์ของเราอาจตอบแทนเราด้วยค่าคอมมิชชั่นสำหรับการจัดวางตำแหน่งต่าง ๆ ในบทความของเรา อย่างไรก็ดี ค่าคอมมิชชั่นนี้ไม่มีผลต่อกระบวนการของเราในการสร้างเนื้อหาที่ไร้อคติ ตรงไปตรงมา และเป็นประโยชน์