พื้นฐานของ “การอ่านกราฟคริปโต”

การอ่านกราฟคริปโตถือเป็นหนึ่งในทักษะสำคัญที่เราจะต้องมีเมื่อเราทำการเทรดคริปโต เพราะว่าความสามารถในการอ่านและวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวของตลาดเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากในการช่วยลดความเสี่ยงในการสูญเสียเงินทุนของเราไป ดังนั้น ในบทความนี้ เราจะมาดูกันในเรื่องพื้นฐานของ “การอ่านกราฟคริปโต” ที่แม้แต่มือใหม่ก็สามารถเข้าใจได้ง่ายๆ รวมไปถึง ความสำคัญของการอ่านกราฟ และตัวอย่างของการอ่านกราฟในรูปแบบต่างๆ ถ้าพร้อมแล้ว ไปกันเลย!

ทำไม “การอ่านกราฟคริปโต” จึงเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับนักเทรด?

“การอ่านกราฟคริปโต” เป็นหนึ่งสิ่งที่สำคัญสำหรับเหล่านักเทรดในการใช้หาโอกาสต่างๆ ที่ดีที่สุดที่จะเกิดขึ้นในตลาดซื้อขาย เพราะว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคจากการอ่านกราฟจะช่วยให้นักเทรดสามารถคาดการณ์ถึงแนวโน้มของตลาดและความเคลื่อนไหวที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตของราคาสินทรัพย์เหล่านั้นได้

ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือนักเทรดที่มีประสบการณ์อย่างโชกโชน การอ่านกราฟคริปโตก็ถือเป็นทักษะที่จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้เพื่อช่วยให้พวกเขาสามารถทำการตัดสินใจในการลงทุนหรือทำการเทรดได้เชี่ยวชาญมากยิ่งขึ้น และหลังจากนั้น เราก็จะมีโอกาสที่จะทำกำไรในการเทรดได้มากยิ่งขึ้น

กราฟคริปโตที่เราควรให้ความสนใจมีแบบไหนบ้าง?

การวิเคราะห์กราฟคริปโตเพื่อหาแนวโน้มของราคาสินทรัพย์สามารถทำได้ด้วยหลากหลายวิธี แต่สำหรับวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดนั้นคงจะหนีไม่พ้น “กราฟแท่งเทียน” (Candlesticks) และ “รูปแบบกราฟ” (Chart Pattern) เนื่องจากสามารถตรวจสอบได้ง่ายและใช้คาดการณ์ได้ทั้งในระยะสั้น (กราฟแท่งเทียน) และในระยะยาว (รูปแบบกราฟ)

กราฟแท่งเทียน (Candlesticks) คืออะไร?

กราฟแท่งเทียน หรือ Candle Sticks จะแสดงให้เห็นถึงข้อมูลต่างๆ ของความเคลื่อนไหวของราคาไว้อย่างชัดเจน เช่น ราคาเปิด, ราคาปิด, ราคาสูงสุดหรือต่ำสุดในกรอบเวลาที่เฉพาะเจาะจงที่เราต้องการ

กราฟแท่งเทียนนั้นถือเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญสำหรับอ่านกราฟคริปโต ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถยืนยันแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น, การกลับตัวของแนวโน้ม, การชะลอตัว, และอื่นๆ อีกมากมาย

ต่อไป เราไปดูตัวอย่างของกราฟแท่งเทียนที่นิยมใช้ในการคาดการณ์แนวโน้มของราคากันดีกว่า

1. Hammer

Hammer คือแท่งเทียนที่มีตัวแท่งสั้นแต่มีหางด้านล่างที่ยาวเกิน 2 เท่าของตัวแท่งเทียน บ่งบอกถึงการที่มีแรงขายอย่างมากในช่วงแรก แต่ก็มีแรงซื้อกลับเข้ามา ผลักให้ราคากลับมาปิดสูงขึ้น ซึ่งหากเราพบเห็นแท่งเทียนนี้ในช่วงขาลง มันก็มีโอกาสที่ราคาจะกลับตัวเป็นขาขึ้นต่อไป

2. Inverted Hammer / Shooting Star

Inverted Hammer คือรูปแบบแท่งเทียนที่คล้ายกับค้อนกลับหัว ซึ่งจะพบได้แถวปลายๆ ของกราฟขาลงที่กำลังจะกลับตัวเป็นขาขึ้น ในขณะที่ Shooting Star จะพบได้ในบริเวณช่วงปลายๆ ของกราฟขาขึ้นซึ่งกำลังจะกลับตัวเป็นขาลง

3. Engulfing

Engulfing คือรูปแบบของแท่งเทียนที่ประกอบด้วยแท่งเทียน 2 แท่ง ซึ่งแท่งเทียนแรกนั้นจะมีขนาดของตัวแท่งที่เล็กกว่าแท่งเทียนที่ 2 ซึ่งมีขนาดของแท่งที่ใหญ่กว่า ในกรณีของรูปแบบ Bullish แท่งเทียนที่ 2 นั้นจะมีราคาเปิดที่ต่ำกว่าแต่มีราคาปิดที่สูงกว่าแท่งเทียนแรก ซึ่งเป็นสัญญาณว่าอาจจะเกิดการกลับตัวเป็นขาขึ้น ในส่วนของรูปแบบ Bearish ราคาเปิดที่สูงกว่าแท่งเทียนแรกแต่กลับมีราคาปิดที่ต่ำกว่า ซึ่งก็จะเป็นสัญญาณของการกลับตัวเป็นขาลง

4. Piercing Line

Piercing Line เป็นเหมือนรูปแบบครึ่งทางของ Bullish Engulfing ซึ่งทำงานได้ดีที่สุดเมื่อมันปรากฏขึ้นในจุดต่ำสุดของแนวโน้มขาลง หากมีแรงผลักดันขาขึ้นมากพอ มันอาจจะกลายเป็นรูปแบบ Bullish Engulfing ได้

5. Three White Soldiers

Three White Soldiers เป็นรูปแบบแท่งเทียน 3 แท่ง ซึ่งแท่งเทียนในแท่งถัดจากแท่งแรกไปนั้นจะมีราคาเปิดและราคาปิดที่สูงกว่าแท่งเทียนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการแสดงถึงสัญญานการกลับตัวขาขึ้นที่แข็งแกร่งจากแนวโน้มขาลง รูปแบบในขาลงของมันนั้นจะถูกเรียกว่า Three Black Crows

ข้อมูลต่างๆ จากแท่งเทียนเหล่านี้เป็นข้อมูลที่ยอดเยี่ยมที่นักเทรดสามารถใช้เพื่อคาดการณ์ความเคลื่อนไหวของราคาได้ อย่างไรก็ตาม จะเป็นการดีกว่าที่คุณจะใช้ข้อมูลจากตัวชี้วัดอื่นๆ ร่วมด้วยเพื่อประกอบการพิจารณาและเพื่อเป็นการยืนยันถึงสัญญาณต่างๆ ที่รูปแบบแท่งเทียนบ่งบอกคุณ เพื่อให้คุณได้ข้อมูลที่มีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น

หากคุณต้องการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม หรือ ต้องการทราบเกี่ยวกับรูปแบบแท่งเทียนมากยิ่งขึ้น คุณสามารถเข้าไปชมบทความ “20 รูปแบบ แท่งเทียนกลับตัว ขาขึ้นและขาลง ที่ใช้ได้จริงในปี 2023” ซึ่งจะเต็มไปด้วยรายละเอียดที่อันแน่นเกี่ยวกับรูปแบบแท่งเทียนต่างๆ ที่คุณสามารถนำไปใช้อ้างอิงและศึกษาเพื่อการเทรดได้

รูปแบบกราฟ (Chart Pattern) คืออะไร?

รูปแบบกราฟ หรือ Chart Pattern เป็นสิ่งที่มักจะถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อช่วยคาดการณ์ความเคลื่อนไหวของราคาและช่วยหาโอกาสในการเข้าทำการเทรดเพื่อทำกำไรที่อาจจะเกิดขึ้น รูปแบบกราฟนั้นจะให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้มากกว่ารูปแบบแท่งเทียน เนื่องจากจะเป็นการอ่านกราฟราคาในช่วงเวลาที่ยาวนานกว่า และส่วนใหญ่แล้ว มันจะถูกนำไปวิเคราะห์ร่วมกับเส้นแนวโน้มหรือตัวชี้วัดทางเทคนิคต่างๆ เพื่อให้ได้ความแม่นยำมากยิ่งขึ้น

ต่อไป เราจะมากล่าวถึงรูปแบบกราฟที่สามารถใช้เพื่อคาดการณ์ความเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1. Ascending/Descending Triangle

รูปแบบกราฟ Ascending/Descending Triangle จะเป็นรูปแบบที่ช่วยคาดการณ์ถึงการพุ่งขึ้นหรือลดลงของราคา รวมไปถึงการกลับตัวของราคาอีกด้วย โดยจะเป็นการตีเส้นแนวโน้ม 2 เส้น (เส้นแนวนอน 1 เส้น และเส้นลาดเอียงขึ้นหรือลง 1 เส้น) และกำหนดให้มันเป็นแนวต้าน/แนวรับจากจุดต่ำสุด (Ascending Triangle) หรือจุดสูงสุด (Descending Triangle) ของกราฟ 2 จุด และหากราคาของสินทรัพย์สามารถฝ่าเส้นแนวต้าน (ในกรณีขาขึ้น) หรือแนวรับ (ในกรณีขาลง) ก็จะถือเป็นการยืนยันแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นได้ทันที

2. Rising/Falling Wedge

รูปแบบกราฟ Rising/Falling Wedge จะเป็นรูปแบบที่คล้ายกับรูปแบบ Triangle แต่จะเป็นเส้นแนวโน้มที่ลาดเอียงทั้ง 2 เส้น รูปแบบกราฟทั้ง 2 นั้นมีความคล้ายคลึงกัน แต่สิ่งที่ทำให้มันแตกต่างไปจากรูปแบบ Triangle ก็คือ รูปแบบ Wedge นั้นจะถูกมองว่าเป็นรูปแบบของการกลับตัว ในขณะที่รูปแบบ Triangle จะถูกมองว่าเป็นความต่อเนื่องของแนวโน้มเสียมากกว่า

3. Head and Shoulders

รูปแบบกราฟ Head and Shoulders เป็นรูปแบบกราฟที่บ่งบอกถึงจุดสิ้นสุดของช่วงขาขึ้นและมักจะตามมาด้วยการเปลี่ยนแปลงของราคาอย่างกระทันหัน โดยตัวกราฟจะประกอบด้วยจุดสูงสุดใน 3 ช่วง โดยจะมีจุดสูงสุดอยู่ตรงกลาง ซึ่งเปรียบเสมือนหัวกับไหล่ทั้งสองข้างนั่นเอง และหากรูปแบบกราฟ Head and Shoulder เกิดในสภาพกลับหัว มันก็จะถูกเรียกว่า Head and Shoulders ซึ่งจะเป็นการบ่งบอกถึงการสิ้นสุดของช่วงขาลงเช่นกัน

4. Double Bottom/Top

รูปแบบกราฟ Double Bottom/Top เป็นอีกหนึ่งรูปแบบกราฟที่พบเห็นได้เป็นประจำ มันเป็นสัญญาณของการกลับตัวของแนวโน้ม จากการที่ราคาเคลื่อนไปชนแนวรับ (กรณีของ Double Bottom) หรือแนวต้าน (กรณีของ Double Top) 2 ครั้งในช่วงเวลาสั้นๆ และไม่สามารถฝ่าแนวดังกล่าวไปได้ ซึ่งบ่งบอกถึงโอกาสการกลับตัวที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น

เช่นเดียวกับการอ่านกราฟแท่งเทียน การใช้มันควบคู่ไปกับข้อมูลอื่นๆ เช่น ตัวชี้วัดต่างๆ, ปริมาณการซื้อขาย, หรือ ปัจจัยพื้นฐานอื่นๆ ก็จะช่วยให้คุณสามารถมองเห็นภาพรวมที่สมจริงได้มากยิ่งขึ้น

เทคนิคอื่นๆ ที่ใช้ได้นอกเหนือไปจาก “การอ่านกราฟคริปโต”

นอกเหนือไปจาก “การอ่านกราฟคริปโต” ต่างๆ ข้างต้นแล้ว มันยังมีตัวช่วยอีกมากมายที่สามารถให้ข้อมูลแก่คุณในการคาดการณ์ถึงความเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ได้ ตัวอย่างเช่น:

• แนวรับ/แนวต้าน — เส้นแนวรับหรือแนวต้านคือระดับของราคาสินทรัพย์ที่คนต้องการจะเข้าซื้อ (แนวรับ) หรือเทขาย (แนวต้าน) เป็นอย่างมาก มันจึงเป็นระดับราคาที่สามารถช่วยคุณในการประกอบการตัดสินใจร่วมกับตัวชี้วัดอื่นๆ เพื่อเข้าซื้อหรือขายสินทรัพย์ได้
• RSI — RSI หรือ Relative Strength Index คือหนึ่งใน Indicator ยอดนิยมที่ใช้สำหรับจับสัญญานของแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลงของราคาสินทรัพย์ที่สามารถใช้งานได้ง่ายและมีความน่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก
• Fib Retracement/Extension Level — เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถคาดการณ์ความเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้คุณสามารถจับจังหวะการซื้อขายเพื่อการทำกำไรได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตาม คุณควรจะใช้มันควบคู่ไปกับเครื่องมืออื่นๆ เพื่อความถูกต้องและแม่นยำมากยิ่งขึ้น
• Moving Average — Moving Average (MA) หรือ เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ เป็นอีกหนึ่งในอินดี้ (Indicator) ที่ใช้งานได้ง่ายมาก มันเป็นเส้นค่าเฉลี่ยของราคาสินทรัพย์ภายในช่วงเวลาที่กำหนดเพื่อช่วยในการคาดการณ์ว่ากราฟราคาจะมุ่งหน้าไปในทิศทางใด

การอ่านกราฟคริปโต คือ สิ่งที่สำคัญ

สุดท้ายนี้ ก็เหมือนที่ได้กล่าวเอาไว้ที่ตอนต้นของบทความ ความสามารถในการอ่านกราฟคริปโตได้นั้นถือเป็นทักษะที่สำคัญมากที่จะช่วยให้คุณทำกำไรจากการเทรดคริปโตได้ แต่อย่างไรก็ตาม สัญญานต่างๆ เหล่านั้นไม่ได้เป็นการบ่งบอกถึงอนาคตที่จะเกิดขึ้นจริง แต่เป็นการคาดการณ์ถึงแนวโน้มของมันที่อาจจะเกิดขึ้น ดังนั้น การอ่านกราฟคริปโตควบคู่ไปกับการศึกษาข้อมูลจากช่องทางอื่นๆ หรือการใช้งานเครื่องมือที่ช่วยในการเทรดต่างๆ ก็ถือเป็นแนวทางที่ดีที่จะช่วยให้คุณลดความเสี่ยงในความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นได้

แพลตฟอร์มคริปโตที่ดีที่สุดในไทย | เมษายน 2024

YouHodler สำรวจเลย →

BYDFi สำรวจเลย →

CoinEx สำรวจเลย →

BingX สำรวจเลย →

Coinrule สำรวจเลย →

Bybit สำรวจเลย →

ดูเพิ่มเติม