สงคราม Hardware Wallet ได้เริ่มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นในปี 2023 จากการที่ Ledger ประกาศเรื่องคุณสมบัติการแบ็คอัพ Seed Phrase ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากในชุมชนคริปโต และในขณะที่ Hardware Wallet หลายตัวพยายามที่จะกล่าวอ้างว่าตนเองคือ Cold Storage ที่ดีที่สุด แต่ดูเหมือนว่าการแข่งขันระหว่าง Ledger vs. Trezor นั้นจะดุเดือดมากที่สุด
ในบทความนี้ เราจะมาเปรียบเทียบกันระหว่าง Ledger และ Trezor ในเรื่องรายละเอียดและตัวแปรต่างๆ ที่สำคัญโดยจะพิจารณาจากคุณสมบัติต่างๆ จากผู้ผลิต Cold Storage เหล่านี้อย่างเป็นกลาง เพื่อช่วยให้คุณสามารถทำการตัดสินใจเลือกใช้งานที่จัดเก็บข้อมูลออฟไลน์ที่ดีที่สุดได้ตามความต้องการของคุณ
เข้าร่วม BeInCrypto Trading Community บน Telegram: อ่านรีวิวต่างๆ เกี่ยวกับกระเป๋าเงินคริปโตทั้งแบบ Hot & Cold ที่มีระดับความปลอดภัยสูง, รับรู้ข่าวด่วนในโลกคริปโตก่อนใคร, อ่านข้อมูลการวิเคราะห์ทางเทคนิคของเหรียญต่างๆ และสอบถามข้อมูลต่างๆ ที่คุณต้องการจากนักเทรดมืออาชีพ! เข้าร่วมตอนนี้เลย!
ภาพรวมของ Ledger Wallet
Ledger คือหนึ่งในบริษัทผู้ผลิต Hardware Wallet (กระเป๋าเงินคริปโตที่อยู่ในรูปแบบอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลในแบบออฟไลน์) ชั้นนำของโลกจากปารีส Ledger เปิดตัวในปี 2014 โดยมีผลิตภัณฑ์ชั้นนำต่างๆ วางขายอยู่ในปัจจุบัน เช่น Ledger Nano S และ Ledger Nano X
ทำไมต้อง Ledger Wallet?
มีเหตุผลต่างๆ มากมายที่ชวนให้เลือกใช้งาน Ledger แต่นี่คือความชื่นชอบเป็นการส่วนตัวของเราครับ:
- มีรายชื่อคริปโตที่รองรับมากมายกว่า 1800+ รายการ และจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
- ระดับความปลอดภัยของฮาร์ดแวร์อยู่ในระดับที่สูงมาก ซึ่งต้องขอบคุณเทคโนโลยี BOLOS และชิป ST33 ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของพวกเขา
- การตอบสนองของระบบ Ledger Live UI ดีงามมาก
- รองรับ Bluetooth ในตัว ยกระดับการใช้งานแบบไร้สายไปอีกขั้น
- รองรับวิธีการชำระเงินหรือการทำธุรกรรมที่หลากหลาย รวมไปถึงการโอนเงินผ่านธนาคาร, การโอนสกุลเงินคริปโต, และการชำระเงินด้วยบัตรเดบิต/เครดิต
แล้วเหตุผลที่เราจะไม่ใช้มันล่ะ? ประเด็นร้อนที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม 2023 ที่ผ่านมาในเรื่องคุณสมบัติ “การกู้คืน Seed Phrase” อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ต้องมองหาตัวเลือกอื่น ๆ มาใช้งานแทน Ledger แต่ถ้าเรื่องนี้ยังไม่ทำให้เปลี่ยนใจ ก็อาจจะต้องพิจารณาในเรื่องหน้าจอที่มีขนาดเล็ก (กว่ารายอื่น ๆ ในตลาด) หรือ เรื่องการถูกละเมิดข้อมูลในครั้งก่อน ๆ ก็คล้ายกับเป็นสัญญาณเตือนให้ต้องระมัดระวังไว้ในระดับหนึ่ง
Stop using Ledger hardware wallets. Migrate away from them immediately. They’ve shown nothing but gross incompetence and wild misunderstanding of their own purpose. And now they’ve publicly admitted to intentionally backdooring their own proprietary hardware. Stop using Ledger pic.twitter.com/LLFFUsOW4y
— foobar (@0xfoobar) May 16, 2023
เลือกใช้ Ledger Wallet รุ่นไหนดี?
Ledger Nano S ก็เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมหากคุณเป็นสาวกคริปโตที่กำลังมองหาอุปกรณ์ที่มีความปลอดภัยในราคาที่ย่อมเยาว์ แต่ Ledger Nano X เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดหากคุณมีพอร์ตคริปโตที่หลากหลาย และชื่นชอบในการเชื่อมต่อที่รวดเร็ว
ภาพรวมของ Trezor Wallet
มาดูฝั่ง Trezor กันบ้างครับ Trezor คือบริษัทผู้ผลิต Hardware Wallet ชั้นนำที่ถือกำเนิดมาจาก SatoshiLabs โดยเกิดและเติบโตในสาธารณรัฐเช็ก Trezor เริ่มมีชื่อเสียงในวงการคริปโตในปี 2013
ทำไมต้อง Trezor Wallet?
เช่นเดียวกับ Ledger หากคุณกำลังหาเหตุผลที่จะเลือกใช้งาน Trezor Wallet นี่คือเหตุผลบางส่วนที่เราอยากจะบอกต่อ:
- ซอฟต์แวร์เป็นแบบโอเพ่นซอร์ส ทำให้นักพัฒนาสามารถสร้างและพัฒนาต่อยอดเพิ่มเติมได้
- เฟิร์มแวร์มีการอัพเดตอย่างสม่ำเสมอ
- สามารถเลือกหน้าจอสัมผัสได้ตามความต้องการของคุณ
แล้วเหตุผลที่เราจะไม่ใช้มันล่ะ? การที่ Trezor ยังขาดฟีเจอร์เชื่อมต่อ Bluetooth และไม่รองรับแอป เป็นสิ่งที่ลดความน่าสนใจลงไปได้มากโข อีกทั้ง คุณต้องทำธุรกรรมหรือซื้อคริปโตใน Trezor Wallet ได้ด้วยการใช้บัตรเครดิต/เดบิตเท่านั้น
เลือกใช้ Trezor Wallet รุ่นไหนดี?
หากคุณเป็นมือใหม่ในวงการคริปโต อาจจะลองพิจารณา Trezor One ซึ่งมีราคาไม่แพงและใช้งานได้ง่าย แต่ถ้ากำลังมองหาอุปกรณ์ที่มีประโยชน์ใช้สอยที่หลากหลายและมีคุณสมบัติขั้นสูง Trezor Model T ที่มาพร้อมกับการปรับปรุงเหรียญที่รองรับและฟังก์ชั่นหน้าจอสัมผัส ก็อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
Ledger vs. Trezor: การเปรียบเทียบระหว่างยักษ์ใหญ่
ก่อนหน้านี้ เราก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับข้อดีของทั้ง Ledger และ Trezor ไปบ้างแล้ว ตอนนี้ ถึงเวลาแล้วที่เราจะมาทำการเปรียบเทียบ Hardware Wallet ทั้ง 2 เจ้าในหัวข้อต่าง ๆ แบบหมัดต่อหมัด
Ledger vs. Trezor: ความปลอดภัย
Hardware Wallets นั้นมีไว้เพื่อให้เกิดความปลอดภัย ในฝั่ง Ledger Wallet ชิป ST33 (Secure Element) จะช่วยดูแลจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ในด้านความปลอดภัย ซึ่งจะถูกขับเคลื่อนโดย BOLOS — Blockchain Open Ledger Operating System — ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ Ledger ที่จะมอบประสบการณ์การรักษาความปลอดภัยแบบองค์รวมให้กับผู้ใช้งาน
นอกเหนือจากความสามารถในการรักษาความปลอดภัยคริปโตทั้งในแบบ Hardware-Software แล้ว Ledger Wallet ยังรองรับ Passphrase ซึ่งเป็นตัวเลือกการกู้คืน Private Key แบบ 24-Word อีกด้วย และถึงแม้ว่าระบบ Multi-Sig (กำหนดให้มีการใช้คีย์อย่างน้อย 2 คีย์ขึ้นไปจึงจะสามารถทำธุรกรรมใด ๆ ได้) จะไม่ได้ถูกตั้งค่ามาจากในกล่อง แต่ Ledger ก็สามารถทำงานร่วมกับ Spectre และ Electrum ได้ ซึ่งจะทำให้คุณสามารถตั้งค่า Multi-Sig Wallet ได้
Trezor นั้นมีแนวทางในการรักษาความปลอดภัยของคริปโตที่แตกต่างออกไป Trezor Wallets เลือกใช้งาน Shamir Backup ซึ่งเป็นวิธีการแบ่ง Seed Phrase ออกเป็นหลายส่วน แทนการใช้งานชิปและฮาร์ดแวร์เพื่อรักษาความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม มีเพียงเฉพาะ Model T ซึ่งเป็นกระเป๋าเงินคริปโตระดับไฮเอนด์เท่านั้นที่มีคุณสมบัตินี้
พูดง่าย ๆ สิ่งนี้ก็เหมือนการล่าสมบัติในเขาวงกต ที่กุญแจในการเข้าถึงสมบัตินั้น จะไม่ถูกเก็บไว้ในสถานที่ใดที่หนึ่งแห่งเดียวอย่างแน่นอน
Trezor ยังสามารถทำงานร่วมกับ Software Wallet อื่น ๆ เช่น Electrum เพื่อช่วยให้คุณสามารถตั้งค่าระบบ Multi-Sig ได้เช่นกัน และเนื่องจากซอฟต์แวร์ของพวกเขาเป็นแบบโอเพ่นซอร์ส โค้ดต่าง ๆ จึงได้รับการตรวจสอบจาก 3rd Party (หน่วยงานภายนอกที่เป็นบุคคลที่ 3) ซึ่งเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับหลักการของการกระจายอำนาจ
คำตัดสิน
ถึงแม้ว่าชิปคู่ SE ของ Ledger จะทรงพลังและปลอดภัย แต่มันก็ไม่ใช่โอเพ่นซอร์ส ในทางกลับกัน Trezor มุ่งเน้นกับการให้ความสำคัญกับเทคนิคที่มีความเป็นออร์แกนิคมากกว่าเพื่อช่วยให้คุณสามารถกู้คืน Seed Phrase ได้โดยไม่ต้องใช้แนวทางแบบรวมศูนย์ที่มีพื้นฐานอยู่บนคลาวด์ อย่างไรก็ตาม ทั้ง Ledger และ Trezor ต่างก็มีระบบ 2FA (การยืนยันตัวตนแบบ 2 ปัจจัย) และ Passphrase
ถ้าหากคุณต้องการมาตรฐานความปลอดภัยที่มีพื้นฐานมาจากฮาร์ดแวร์ Ledger ก็ดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคุณ แต่หากคุณต้องการคุณสมบัติอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น Shamir Backup เพื่อช่วยให้การรักษาความปลอดภัยกระเป๋าเงินของคุณมีการกระจายอำนาจมากยิ่งขึ้น เราขอแนะนำ Trezor
รู้หรือไม่ว่า? Ledger อ้างว่าชิป Secure Elements ของพวกเขาสามารถขัดขวางการโจมตีแบบ Side-Channel “Shazam” — รูปแบบหนึ่งของการโจมตีที่ผู้โจมตีวัดการใช้พลังงานจากแหล่งที่มาและพยายามจับคู่พลังงานดังกล่าวเพื่อถอดรหัส PIN — ได้
Trezor มีแต้มต่อในเรื่อง:
- Shamir Backup
- รองรับโอเพ่นซอร์ส
- รองรับ Passphrase และ PIN
- สามารถตั้งค่า Multi-Sig เพิ่มเติมได้
Ledger vs. Trezor: เหรียญคริปโตที่รองรับ
จากข้อมูลล่าสุด Ledger Wallet รองรับสินทรัพย์ดิจิทัลมากกว่า 5,500 รายการ รวมไปถึงการโฮสต์ Key โดยตรงและความสามารถในการทำงานร่วมกับกระเป๋าเงิน 3rd Party ได้ นอกจากนี้ ทั้ง Ledger Nano X และ Nano S ก็มีความสามารถและรองรับสินทรัพย์คริปโตต่าง ๆ อย่างครอบคลุมเช่นเดียวกัน
ในทางกลับกัน Trezor ก็รองรับสินทรัพย์คริปโตมากกว่า 5,000 รายการ โดยที่ Model T มีการรองรับมากกว่าตัว Trezor One สิ่งนี้ถือเป็นข้อดีอย่างนึงหากคุณต้องการเลือกอุปกรณ์โดยอิงจากสินทรัพย์คริปโตที่มันรองรับอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตาม Trezor ไม่รองรับเหรียญยอดนิยมบางส่วน เช่น XRP, CELO และอื่น ๆ อีกมากมาย ทำให้มันเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจน้อยลงสำหรับนักลงทุนสายรุกหรือผู้ที่ชื่นชอบในการสำรวจอะไรใหม่ๆ
ทั้ง 2 รายต่างรองรับการจัดการ NFT, การจัดเก็บโทเค็น ERC-20 และคุณสมบัติอื่น ๆ อีกมากมายเมื่อใช้งานกับส่วนขยาย เช่น MetaMask นอกจากนี้ Ledger ยังรองรับการ Staking คริปโตโดยตรงผ่าน Ledger Live สำหรับ ATOM, DOT และอื่นๆ อีกมากมาย — ช่วยให้คุณได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากการถือครองคริปโตของคุณ
คำตัดสิน
หากคุณต้องการเลือก Hardware Wallet โดยอ้างอิงจากจำนวนสินทรัพย์คริปโตที่มันสามารถรองรับได้ เราขอแนะนำให้คุณเลือก Ledger
Ledger ได้รับชัยชนะจาก:
- รองรับการจัดเก็บคริปโตเพิ่มเติม
- รองรับการ Staking โดยตรงผ่าน Ledger Live
- เข้าถึงตลาดซื้อขาย NFT ได้โดยผ่าน Ledger Live
- เข้าถึงการสวอปคริปโตได้โดยตรง
Ledger vs. Trezor: ความสามารถในการใช้งาน
องค์ประกอบของกระเป๋าเงินบางส่วน — เช่น การตั้งค่ารหัสผ่าน ไปจนถึง การทำงานกับ UI บนมือถือ — เป็นสิ่งที่อาจจะเสริมหรือทำลายประสบการณ์ของผู้ใช้งานได้ มันจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องมาเปรียบเทียบความสามารถในการใช้งานของกระเป๋าเงินทั้ง Ledger และ Trezor
ก่อนอื่น Ledger ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึง DApps ได้โดยตรง ทำให้มันเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับสาวกคริปโตที่เชี่ยวชาญ อินเทอร์เฟสของ Ledger Live มีทรัพยากรทุกอย่างที่ช่วยให้โต้ตอบกับกระเป๋าเงินได้ ยิ่งไปกว่านั้น คุณยังสามารถใช้ Ledger Live เป็นเครื่องมือในการจัดการพอร์ตการลงทุนของคุณได้อีกด้วย การตั้งค่า PIN ก็เป็นส่วนหนึ่งของการเริ่มต้นการใช้งานกระเป๋าเงิน และมันมีปุ่มแบบกายภาพอยู่ 2 ปุ่มบนอุปกรณ์ ซึ่งคลิกได้ยากและไม่ใช่การปรับปรุงใดๆ ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่จะชวนให้รู้สึกน่าใช้งานมากขึ้น
Trezor สามารถทำงานร่วมกับ Trezor.io ซึ่งเป็นอินเทอร์เฟสที่ทำงานบนเบราว์เซอร์ได้ (Trezor Suite) มันใช้งานง่ายแต่มีคุณสมบัติต่าง ๆ น้อยกว่าเมื่อเทียบกับ Ledger Live การตั้งค่า PIN ใช้แนวทางของการตั้งค่าตัวเลข ในขณะที่ปุ่มแบบกายภาพบนอุปกรณ์ของ Trezor นั้นให้ความรู้สึกที่ใช้งานได้ง่ายกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับ Ledger
คำตัดสิน
Trezor ดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า หากคุณเป็นผู้ใช้งานคริปโตที่ไม่ต้องการจะใช้งานคุณสมบัติต่าง ๆ ที่มีความซับซ้อนอย่าง Ledger Live
Trezor เฉือนชนะไปด้วย:
- การวางปุ่มที่ใช้งานได้ดีกว่า
- วิธีการตั้งค่า PIN ที่ปลอดภัย
- Web-based UI ที่ดูเรียบง่ายใน Trezor.io
- คำแนะนำการตั้งค่ากระเป๋าเงินโดยละเอียด
Ledger vs. Trezor: ความหลากหลายของรุ่นอุปกรณ์
ทั้ง Ledger และ Trezor ต่างก็นำเสนอกระเป๋าเงินที่ช่วยทำให้ชีวิตของคุณง่ายยิ่งขึ้น ปัจจุบัน Ledger มี Nano S+ และ Nano X ซึ่งเป็นกระเป๋าเงินที่มาพร้อมกับหน้าจอ OLED และมีความละเอียดที่ 128 x 32 พิกเซลและ 128 x 64 พิกเซลตามลำดับ ในรุ่นของ Nano X นั้นได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายจากคุณสมบัติ “การกู้คืน” จากการอัปเดตเฟิร์มแวร์รอบล่าสุดที่เราได้กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้
นอกจาก Nano X และ Nano S+ แล้ว พวกเขายังมี Ledger Stax ซึ่งเป็นกระเป๋าเงินหน้าจอ E-Ink ที่มีความละเอียดหน้าจอ 240 x 240 พิกเซล อย่างไรก็ตาม มันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นอุปกรณ์ที่มีขนาดใหญ่ มากกว่าจะเป็นอุปกรณ์สำหรับผู้ถือครองคริปโตที่มีประสบการณ์สูง สิ่งหนึ่งที่ต้องทราบก็คือกระเป๋าเงิน Ledger ทุกประเภทรองรับสินทรัพย์คริปโตเท่ากัน
สำหรับ Trezor คุณสามารถเลือกใช้งานได้ตามความต้องการระหว่าง Model T และ Model One ในขณะที่ Model T มีหน้าจอสัมผัสแบบ LCD ที่มีความละเอียด 240 x 240 พิกเซล Model One ที่มีมีราคาย่อมเยากว่าก็มาพร้อมกับหน้าจอ OLED ที่สว่างสดใสโดยมีความละเอียดที่ 128 x 64 พิกเซล หากคุณต้องการความปลอดภัยในการจัดเก็บคริปโตมากกว่านี้ Trezor Model T ที่รองรับการใช้งาน SD Card และกระเป๋าเงินอื่น ๆ น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
คำตัดสิน
จากตัวเลือกทั้งหมด ดูเหมือนว่า Trezor จะมีความหลากหลายมากกว่าในแง่ของส่วนเสริมต่างๆ ที่อุปกรณ์สามารถรองรับได้
Trezor นำหน้าไปด้วย:
- ตัวเลือกในเชิงประสบการณ์ที่เฉพาะเจาะจงที่ดีกว่า
- รองรับหน้าจอสัมผัสในรุ่น Model T
- รองรับ SD Card ในบางรุ่น
- การรองรับกระเป๋าเงินที่เกี่ยวข้องในตัวในรุ่น Model T
Ledger vs. Trezor: ความเข้ากันได้กับอุปกรณ์/แพลตฟอร์มอื่นๆ
ก่อนที่คุณจะตัดสินใจเลือกซื้อ Hardware Wallet ลองใช้เวลาสักพัก เพื่อตรวจสอบความสามารถในการทำงานร่วมกันได้กับอุปกรณ์/แพลตฟอร์มอื่น ๆ ของมันเสียก่อน Ledger Wallet ทำงานร่วมกันได้อย่างง่ายดายกับอินเตอร์เฟส 3rd Party ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น MetaMask หรือ MyEtherWallet เป็นต้น อุปกรณ์ทั้งหมดของ Ledger ยังสามารถทำงานร่วมกันได้กับ Windows, macOS, หรือแม้กระทั่ง Linux เองก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้น Ledger Wallet ยังรองรับ iOS และ Android ด้วยความช่วยเหลือจากแอปพลิเคชั่น Ledger Live ที่ใช้งานร่วมกันได้เป็นอย่างดี
Trezor Wallet ก็รองรับกระเป๋าเงินและส่วนขยายของ 3rd Party เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ คุณยังสามารถใช้งาน Trezor ได้กับระบบ Windows, macOS และ Linux เช่นกัน อย่างไรก็ตาม การใช้งานบน Android จะสามารถทำได้ด้วย OTG Support เท่านั้น เนื่องจากมันไม่มีแอปโดยตรงที่จะทำงานร่วมได้
คำตัดสิน
Ledger ถือเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า สำหรับผู้ใช้งานที่ต้องการใช้งานแอปมือถือจัดการกระเป๋าเงิน ถึงแม้ว่าบางคนอาจจะมองว่าส่วนเสริมนี้ดูมีความเป็นการรวมศูนย์อยู่บ้าง แต่ Ledger ก็ยังมีข้อดีในเรื่องความใช้งานง่าย
Ledger ชนะไปในรอบนี้ด้วย:
- แอปที่สามารถใช้งานได้ทั้งในระบบ Android และ iOS
- Ledger Live ที่สามารถเข้ากันได้กับหลายๆ แพลตฟอร์ม
Ledger vs. Trezor: การสำรองข้อมูลและการกู้คืน
เรื่องการสำรองข้อมูลและการกู้คืน Seed Phrase ดูเหมือนจะเป็นคุณสมบัติที่ดูยุ่งยากมากที่สุดของ Hardware Wallet ซึ่ง Ledger ใช้แนวทางในการตั้งค่าการกู้คืนกระเป๋าเงินแบบ 24-word หรือเรียกอีกอย่างว่า Seed Phrase และยังมีตัวเลือกฟังก์ชั่น Passphrase ที่ซึ่งคำที่ 25 จะช่วยให้คุณกู้คืน Seed Phrase มาตรฐาน 24-word ได้
อย่างไรก็ตาม การอัพเกรดเฟิร์มแวร์ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2023 ของ Nano X ได้เปิดให้ใช้งานตัวเลือกการกู้คืน Seed Phrase แบบ Cloud-based (บริการที่มีพื้นฐานการจัดเก็บข้อมูลและทำงานบนคลาวด์) ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ทางเลือกก็ตาม แต่การสำรองข้อมูลไว้บนคลาวด์ที่ดูจะเป็นการรวมศูนย์นี้ทำให้ทุกคนต่างออกมาเตือนภัยกันในทันที
ในทางกลับกัน Trezor นำเสนอบริการ Shamir Backup ซึ่งเป็นคุณสมบัติในการกู้คืน Seed Phrase แบบแชร์ข้อมูล ซึ่งจะเป็นการแยก Seed Phrase ออกเป็นหลายๆ ส่วน เพื่อที่จะกู้คืนกระเป๋าเงิน คุณจะต้องระบุข้อมูลที่แชร์ไว้ (จากจำนวนที่กำหนดไว้ล่วงหน้า) เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการกู้คืน
คำตัดสิน
คุณสมบัติการแชร์ข้อมูลการกู้คืนของ Trezor ดูจะมีความโปร่งใสและถูกใจชุมชนคริปโตมากกว่า เมื่อเทียบกับการสำรองข้อมูลบนคลาวด์
Trezor ได้รับชัยชนะอีกครั้งด้วย:
- คอนเซปต์ของการแบ่งข้อมูลการกู้คืน Seed Phrase
- ไม่มีการประกาศใดๆ ในเรื่องการสำรองข้อมูลบนคลาวด์
Ledger vs. Trezor: ชิปเซ็ตที่ใช้งาน
Hardware Wallet ทั้งหมดต่างก็ต้องการชิปในการทำงาน Ledger ใช้ชิปคู่ Secure Element เพื่อรักษาความปลอดภัยข้อมูลของผู้ใช้งาน ข้อมูลจาก Ledger ระบุว่า ชิปนี้ทนทานต่อการงัดแงะ และ สามารถทนต่อการโจมตีช่องโหว่, การโจมตีซอฟต์แวร์, และการโจมตีแบบ Side Channel ได้ หากคุณต้องการทราบข้อมูลสเปคที่เฉพาะเจาะจง ชิปเซ็ตรหัส ST31H320 และ ST33J2M0 เป็นตัวแปรของชิป Secure Element ในขณะที่ Non-Secure Microcontrollers แบบมาตรฐานจะมีรหัสอย่าง STM32F042 และ STM32WB55
Ledger Wallet ทั้งหมดจะประกอบไปด้วยชิป Secure Element และชิป Microcontroller แบบมาตรฐานเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการใช้งานที่ปลอดภัย
Trezor Wallet ไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม จะใช้งานชิปเซ็ต Non-Secure — STM32F205 สำหรับ Trezor One และ STM32F405 สำหรับ Model T
คำตัดสิน
มีเพียงชิปเซ็ตของ Ledger เท่านั้นที่ให้ความปลอดภัยในระดับฮาร์ดแวร์แก่ผู้ใช้งาน
Ledger ชนะไปด้วย:
- ชิป Secure Element แบบ Built-in ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของ Ledger ที่ได้รับการรับรอง EAL5+
- การผสมผสานที่ลงตัวของชิป Microcontroller ทั้งแบบ Secure และ Non-Secure เพื่อมอบประสบการณ์การรักษาความปลอดภัยแบบองค์รวม
Ledger vs. Trezor: แบตเตอรี่
Hardware Wallets ไม่มากนักที่รองรับการใช้งานแบตเตอรี่ อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นคุณสมบัติที่ดี หากคุณต้องเดินทางตลอดเวลาและต้องการตรวจสอบสินทรัพย์ของคุณอย่างใกล้ชิด Ledger Nano X มาพร้อมกับแบตเตอรี่สำรองแบบชาร์จไฟได้ขนาด 100mAh ในขณะที่ Nano S Plus ใช้งานได้โดยการเสียบมันเข้ากับคอมพิวเตอร์
Trezor Wallet นั้นไม่มีแบตเตอรี่สำรอง และสามารถใช้งานได้ผ่านการเชื่อมต่อ USB Type-C เท่านั้น
คำตัดสิน
หากคุณต้องการตรวจสอบสินทรัพย์คริปโตที่คุณถือครองไว้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องเสียบมันเข้ากับ PC ทุกครั้ง Ledger เป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
หมายเหตุ: มีโพสต์บน Reddit ที่กล่าวถึงฟังก์ชั่นการชาร์จแบตเตอรี่ของ Nano X ที่หยุดทำงานลงเนื่องจากมีอุณหภูมิสูง
ผู้ชนะคือ Ledger ด้วย:
- แบตเตอรี่ขนาด 100mAh ใน Nano X
- ระบบ Quick Charging (ชาร์จด่วน) พร้อมแบตเตอรี่สำรอง ที่ชาร์จหนึ่งครั้งแล้วจะสามารถใช้งานได้ยาวนานมากกว่า 3 วัน
Ledger vs. Trezor: ราคา
เมื่อพูดถึงราคา Ledger Nano X จะอยู่ที่ระหว่าง 119 ถึง 149 ดอลลาร์ ในขณะที่ Nano S Plus มีราคาอยู่ที่ราวๆ 80 ดอลลาร์ และหากคุณต้องการซื้อ Ledger Stax ที่ทรงพลังที่สุด คุณต้องจ่ายเงินเกือบ 279 ดอลลาร์ — ซึ่งทำให้มันเป็นกระเป๋าเงินที่แพงที่สุดในรายการนี้
หากคุณวางแผนที่จะซื้อ Trezor ราคาของ Trezor One แบบมาตรฐานควรจะอยู่ที่ราคาประมาณ 55 ดอลลาร์ ในขณะที่ Model T จะอยู่ที่ระหว่าง 170 ถึง 260 ดอลลาร์ ขึ้นอยู่กับข้อเสนอพิเศษที่คุณหาได้
คำตัดสิน
Ledger ดูจะมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายกว่า ซึ่งอาจจะเหมาะกับจำนวนงบประมาณที่แตกต่างกันของผู้ใช้งานหลายๆ ประเภท
Ledger ชนะไปได้ด้วย
- มีตัวเลือกของราคาและการใช้งานที่หลากหลาย
- ถึงแม้จะมีแบตเตอรี่สำรอง และความสามารถในการแสดงผลเฉพาะทาง แต่ Ledger Nano X ก็ยังถือว่ามีราคาที่ค่อนข้างคุ้มค่า
Ledger vs. Trezor: ความเป็นส่วนตัว
นโยบายความเป็นส่วนตัวของผู้ผลิต Hardware Wallet เป็นสิ่งที่อาจจะทำให้พวกเขารุ่งเรือง หรือไม่ก็ล่มจมได้เลยทีเดียว ปัจจุบัน Ledger จะมีการรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลต่างๆ ผ่านเว็บไซต์, แอปพลิเคชั่น Ledger Live, และการโต้ตอบกับ 3rd Party รายอื่นๆ ผ่านแอป Ledger Live
ระยะเวลาของข้อมูลที่ได้มีการบันทึกไว้ อาจยาวนานได้สูงสุดถึง 5 ปีในบางกรณี อย่างไรก็ตาม Ledger Live ยังคงรักษาจุดยืนในเรื่องการไม่เก็บข้อมูล แต่ระบุว่าข้อมูลจะถูกส่งต่อไปยังพันธมิตรแทน
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ Ledger เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับแนวทางการรวบรวมข้อมูลของพวกเขา
ถึงกระนั้น หัวข้อดังกล่าวก็มีการตอบโต้กลับจาก Murzika ซึ่งดำรงตำแหน่ง CEO ในขณะนั้น ซึ่งกล่าวว่า วิธีการรวบรวมข้อมูลดังกล่าวนั้นไม่ใช่การล่วงล้ำ, เป็นไปตามมาตรฐานการไม่เปิดเผยตัวตน, และมีความโปร่งใสอย่างเต็มที่
ในทางกลับกัน Trezor ใช้วิธีการรวบรวมข้อมูลที่กระชับมากกว่า นโยบายความเป็นส่วนตัวระบุไว้อย่างชัดเจนว่า บริษัทจะลบข้อมูลลูกค้าภายใน 3 เดือนหลังจากซื้อผลิตภัณฑ์ และพวกเขากำลังพิจารณาแนวทางที่รวดเร็วกว่าในการลบข้อมูล
คำตัดสิน
หากความเป็นส่วนตัวคือประเด็นสำคัญ Trezor คือคำตอบของคุณ จากถ้อยคำประกาศในเรื่องการเก็บข้อมูลที่ตรงไปตรงมาของพวกเขา
Trezor ชนะไปจาก:
- นโยบายความเป็นส่วนตัวที่มีความโปร่งใสมากกว่า
- มีนโยบายความเป็นส่วนตัวและกลยุทธ์การเก็บรวบรวมข้อมูลที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์น้อยกว่า
Ledger vs. Trezor: ความเป็นโอเพ่นซอร์ส
นี่คือหนึ่งในองค์ประกอบที่ Ledger ดูเหมือนจะขาดหายไป แต่โครงสร้างพื้นฐานของ Hardware Wallet ของพวกเขานั้นไม่ใช่ Closed-Source อย่างที่ทุกคนคิด ที่จริงแล้ว เฟิร์มแวร์ของ Ledger นั้นค่อนข้างจะเป็น Open-Source พร้อมกับแอปต่างๆ ที่รองรับ
ด้วยวิธีการนี้ นักพัฒนาจะสามารถตรวจสอบโค้ดได้ อย่างไรก็ตาม ชิป Secure Elements และซอฟต์แวร์ BOLOS ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของพวกเขานั้นเป็น Closed-Source ซึ่งเป็นข้อกังวลด้านความโปร่งใสที่ตกเป็นประเด็นก่อนหน้านี้
Trezor มีแนวทางแบบ Open-Source 100 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ทุกคนในโลกอินเทอร์เน็ตสามารถตรวจสอบโค้ด และฮาร์ดแวร์ของพวกเขาได้ และจากการที่ Trezor เป็น Open-Source มันจึงเป็นไปได้ ที่จะสร้างอุปกรณ์ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนบนแพลตฟอร์ม Trezor ซึ่งจะเป็นการเสริมประสิทธิภาพของการผสานรวมของ 3rd Party
แต่อดีต CEO ของ Ledger ก็ได้ทำการวิพากษ์วิจารณ์ธรรมชาติของโอเพ่นซอร์สนี้ว่า มันอาจจะเป็นศูนย์รวมสำหรับเฟิร์มแวร์เถื่อน เนื่องจากมีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เรียกใช้, คอมไพล์, และยืนยันโค้ดเบสได้
คำตัดสิน
Trezor คือผู้ชนะในเรื่องการเปรียบเทียบในหัวข้อโอเพ่นซอร์ส เนื่องจากมันช่วยให้ผู้ที่มีความรู้ความสนใจทางเทคนิคสามารถสร้าง Hardware Wallets ด้วยตนเองได้
นี่คือ Dev Kit ทั้งหมดที่คุณต้องใช้ในกรณีที่คุณต้องการสร้าง Trezor Wallet ของคุณเอง
Trezor ชนะไปด้วย:
- มีแนวทางโอเพ่นซอร์สอย่างเต็มรูปแบบในการสร้างและใช้งาน Hardware Wallet
- ไม่มีกรรมสิทธิ์ส่วนตัวใดๆ ซึ่งทำให้โค้ดทั้งหมดสามารถตรวจสอบได้
Ledger vs. Trezor: ความเชื่อมั่นจากโลกโซเชียล
ในเดือนพฤษภาคม 2023 Ledger พ่ายแพ้ในหัวข้อนี้ไปอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากพวกเขาต้องเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย เพราะคุณสมบัติ “การกู้คืน” ใหม่ของพวกเขา แถลงการณ์บน Reddit ของ Eric Larcheveque (Murzika) ยิ่งเป็นการสร้างความอึดอัดใจให้กับเหล่าผู้ใช้งานที่มีความคิดเห็นขัดแย้งกับการอัพเดต “การกู้คืน” ที่แปลกประหลาดในครั้งนี้
“Using Recover gives you an easy recovery option and mitigates backup loss, but your assets could get frozen by the government (in theory, I’m not a lawyer, and I didn’t see any legal opinion on the subject).”
Eric Larchevêque, co-founder of Ledger: Reddit
ยอดผู้ติดตามบน Twitter ของ Ledger นั้นมีอยู่ราวๆ 584k ราย ซึ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว บริษัทก็ตัดสินใจที่จะเปิดเผยโค้ดในส่วนใหญ่ของ OS ให้เป็นโอเพ่นซอร์สเพื่อให้ทุกคนสามารถตรวจสอบได้
นอกจากนี้ CEO ของ Ledger ยังขอโทษในเรื่องการสื่อสารที่ผิดพลาดเกี่ยวกับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์/บริการดังกล่าว ซึ่งคำขอโทษนี้น่าจะช่วยบรรเทาความรู้สึกด้านลบที่เกิดขึ้นได้ไม่มากก็น้อย
“This experience has been humbling. We want to do right by the customers and community. Everybody makes mistakes, and how quickly can we fix them? We come to the community with answers to your questions.”
Pascal Gauthier, CEO and Chairman of Ledger: Twitter
Trezor ซึ่งมียอดผู้ติดตามเกือบ 191k ราย กำลังใช้ประโยชน์จากวิกฤตของ Ledger ในการกล่าวถึงความสำคัญของความโปร่งใสผ่านบัญชี Twitter ของพวกเขา
คำตัดสิน
ดูเหมือนว่า Trezor จะเป็นตัวเลือก Hardware Wallet ที่ปลอดภัยกว่าในปี 2023 เนื่องจาก Ledger ต้องแบกรับภาระต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากกระแสวิพากษ์วิจารณ์และความรู้สึกในด้านลบต่างๆ จากเหล่าผู้ใช้งานสื่อโซเชี่ยลด้วย
Trezor ชนะอีกครั้งด้วย:
- โซเชี่ยลมีเดียของพวกเขาที่กำลังเติบโต
- ไม่มีข่าวในเชิงลบ
Ledger vs. Trezor: ลักษณะทางกายภาพ
เราลองมาดูองค์ประกอบต่างๆ ในการออกแบบของ Ledger และ Trezor กัน
ทั้ง Nano X และ Nano S Plus ของ Ledger นั้นมีบอดี้พลาสติกที่สามารถพับเก็บภายใต้กรอบเหล็กขัดเงา Nano X มีปุ่มบนหน้าอินเตอร์เฟส 2 ปุ่ม ซึ่งดูไม่ค่อยจะสวยงามเท่าไร Ledger Wallet ส่วนใหญ่นั้นจะดูไม่ค่อยโดดเด่นเพราะมันจะมีลักษณะหน้าตาเหมือนเป็น USB ที่ใช้จัดเก็บข้อมูล
ในทางกลับกัน Trezor มีตัวบอดี้เป็นพลาสติก แม้กระทั่งในรุ่น Model T ที่มีความพรีเมี่ยมกว่า ไม่ว่าคุณจะเลือกรุ่นใดๆ อุปกรณ์ของ Trezor ก็ดูไม่พรีเมี่ยมเท่า Ledger
คำตัดสิน
Trezor มีส่วนที่เป็นพลาสติกมากเกินไป ในขณะที่ Ledger มีบอดี้พลาสติกที่ถูกปกปิดไว้ภายใต้กรอบโลหะ แต่ถึงกระนั้น Model T ของ Trezor ก็มีความสมดุลอย่างสมบูรณ์แบบ จากการรองรับหน้าจอสัมผัสและคุณภาพของปุ่มต่างๆ
ในหัวข้อนี้ ทั้งคู่จบลงด้วยการเสมอกัน เพราะถึงแม้ว่าโดยรวม Ledger Wallet จะดูดีกว่า แต่ Model T จาก Trezor ก็นำเสนอ UI ที่ใช้งานได้ง่ายกว่า นอกจากนี้ Model T ยังมาพร้อมหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นแต่ลดปุ่มลงเพื่อให้ใช้งานได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
Ledger vs. Trezor: อินเตอร์เฟสผู้ใช้งาน
UI ของกระเป๋าเงินคริปโตของคุณมักจะเป็นสิ่งที่ถูกมองข้ามมากที่สุด ในกรณีของ Ledger นั้น Ledger Live คือสิ่งที่มีความโดดเด่น ด้วยพื้นที่จัดเก็บสื่อการเรียนรู้มากมายและคำอธิบายต่างๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของ Ledger Academy
ในทางกลับกัน Trezor นำเสนอ Trezor Suite ซึ่งเป็นพื้นที่ที่รองรับกระดานเทรดแบบ built-in, รองรับการตรวจสอบธุรกรรม, และคอลเล็คชั่นของสื่อการเรียนรู้ที่ยอดเยี่ยมมากมาย
คำตัดสิน
ทั้ง Ledger และ Trezor ต่างก็มี UI ที่ค่อนข้างเรียบง่าย ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเริ่มต้นการใช้งานได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตาม หากเราต้องเลือก Ledger นั้นนำหน้าอยู่เพียงไม่กี่ช่วงตัว โดยมีส่วนมาจากการรองรับการใช้งาน DApps และสื่อการเรียนรู้บน Academy ที่มากมายของมัน
Ledger ชนะไปด้วย:
- แหล่งข้อมูลในการศึกษาเพิ่มเติม
- เครื่องมือที่สามารถใช้ในการโต้ตอบกับ DApp, ตลาด NFT, กระดานเทรด และอื่นๆ อีกมากมาย ที่ดีกว่า
Ledger vs. Trezor: การเชื่อมต่อแบบไร้สาย
ก่อนอื่น ไม่ใช่ทุกคนที่ชื่นชอบการเชื่อมต่อแบบไร้สายบน Hardware Wallets (เนื่องจากเหตุผลทางด้านความปลอดภัย) แต่ถ้าจะให้เปรียบเทียบ Ledger ถือเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าด้วยการรองรับ Bluetooth ซึ่ง Ledger ระบุว่าการถ่ายโอนผ่าน Bluetooth นั้นจะมีการเข้ารหัสด้วย
ในส่วนของ Trezor ไม่มีกระเป๋าเงินรุ่นไหนของพวกเขาที่รองรับ Bluetooth หรือการเชื่อมต่อแบบไร้สายใดๆ
คำตัดสิน
มีเพียง Ledger ในรุ่น Nano X เท่านั้นที่รองรับ Bluetooth
รอบนี้ ชัยชนะเป็นของ Ledger ด้วย:
- ความสามารถในการจัดการสินทรัพย์ที่ถือครองอยู่ในกระเป๋าเงินโดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับ PC ในเชิงกายภาพ
- การส่งข้อมูล Bluetooth ที่มีการเข้ารหัส
Ledger vs. Trezor: ข้อกังวลเรื่องความปลอดภัย
ประสบการณ์การถูกละเมิดข้อมูลหรือถูกแฮ็กในอดีตของผู้ผลิตกระเป๋าเงิน อาจจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งในอนาคตของมันได้ ในกรณีของ Ledger การถูกละเมิดข้อมูลครั้งใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นในปี 2020 ซึ่งลูกค้าเกือบ 270,000 รายได้ถูกขโมยข้อมูลส่วนตัวไป ถึงแม้จะเกิดการละเมิดข้อมูลดังกล่าว แต่ Ledger ก็ยังคงแสดงจุดยืนในเรื่องความปลอดภัยของกระเป๋าเงิน ว่าคริปโตที่ถูกเก็บไว้ในที่จัดเก็บข้อมูลแบบออฟไลน์นั้นไม่ได้ถูกละเมิด
นอกจากนี้ อุปกรณ์ Ledger หรือ Hardware Wallets ใดๆ ที่เชื่อมต่อกับ PC นั้นอาจจะถูกการโจมตีแบบ Man-in-the-Middle (การดักจับข้อมูลโดยแสร้งทำตัวเป็นตัวกลางในการรับส่งข้อมูลระหว่าง 2 ฝ่าย) อย่างไรก็ตาม ยังไม่เคยมีกรณีดังกล่าวเกิดขึ้น
Trezor ก็เคยถูกแฮ็กและโจมตีช่องโหว่เช่นกัน ในปี 2013 มีรายการเรื่องการโจมตีและทดสอบเพื่อขโมย Seed จากนักวิจัยของ Ledger ซึ่งทำให้แนวคิดการใช้งาน Passphrase ถูกยกขึ้นมาเพื่อตอบโต้การโจมตีนี้
ในปี 2020 Kraken Security Labs ได้ระบุถึงช่องโหว่ที่ผู้โจมตีสามารถขโมย Seed Phrase ได้ภายในระยะเวลา 15 นาที Trezor ตอบโต้การโจมตีดังกล่าวและกล่าวว่า การใช้ภัยคุกคามในลักษณะเดียวกันนี้เป็นจำนวนมากไม่สามารถเป็นไปได้ และการผสานรวม Passphrases อาจจะเป็นสิ่งที่ช่วยป้องกันปัญหาเหล่านี้ได้
คำตัดสิน
ถึงแม้ว่า Ledger จะถูกหมายหัวจากชุมชนคริปโต แต่การแฮ็กและการโจมตีช่องโหว่เกิดขึ้นกับ Trezor บ่อยกว่า
ดังนั้น Ledger จึงชนะไปในรอบนี้ด้วยเหตุผล:
- มีการถูกละเมิดข้อมูลน้อยกว่า
- การใช้งานชิป Secure Element ช่วยเพิ่มความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่ง
Ledger vs. Trezor: เปรียบเทียบคุณสมบัติต่างๆ
นี่คือตารางการเปรียบเทียบคุณสมบัติต่างๆ แบบย่อที่คุณสามารถนำไปใช้อ้างอิงได้:
คุณสมบัติ |
Ledger |
Trezor |
---|---|---|
ความปลอดภัย |
ชิป Secure Element |
เป็นโอเพ่นซอร์สโดยสมบูรณ์ |
คริปโตที่รองรับ |
รองรับคริปโตกว่า 5,500 รายการ |
รองรับคริปโตกว่า 5,000 รายการ |
การ Staking |
คริปโตสามารถ Staking หรือ ให้กู้ยืมได้ |
คริปโตสามารถ Staking ได้ |
ความสามารถในการใช้งาน |
การใช้งานค่อนข้างตรงไปตรงมา |
Trezor Suite ค่อนข้างชัดเจนและใช้งานได้ง่าย |
ความหลากหลายของรุ่นอุปกรณ์ |
Ledger Nano S Plus, Ledger Nano X, และ Ledger Stax |
Trezor One (รุ่นทั่วไป) และ Trezor Model T |
ความเข้ากันได้ |
เข้ากันได้กับแอป 3rd Party มากมาย |
ไม่รองรับการใช้งานบน iOS |
การสำรอง & กู้คืนข้อมูล |
ใช้การกู้คืน Phrase 24-word |
ใช้การกู้คืน Phrase 12, 18, หรือ 24-word |
ชิปเซ็ต |
Secure Element (ST33J2M0 สำหรับ Ledger Nano X, ST31H320 สำหรับ Ledger Nano S) Non-Secure (STM32WB55 สำหรับ Nano X, STM32F042 สำหรับ Nano S) |
ARM Cortex-M3 Processor |
แบตเตอรี่ |
Ledger Nano X มีแบตเตอรี่ในตัว |
Trezor ในทุกรุ่นไม่มีแบตเตอรี่ |
ความเป็นส่วนตัว |
นโยบายความเป็นส่วนตัวเป็นไปตามมาตรฐาน |
นโยบายตามมาตรฐานโดยจำกัดการเก็บข้อมูลไว้สูงสุดเพียง 3 เดือน |
ความเป็นโอเพ่นซอร์ส |
ฮาร์ดแวร์ของ Ledger ไม่ได้เป็นโอเพ่นซอร์สเต็มตัว แต่ซอฟต์แวร์นั้นเป็น |
ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของ Trezor เป็นโอเพ่นซอร์ส |
การออกแบบ |
มีดีไซน์ที่เพรียวบางและกะทัดรัด |
มีการออกแบบที่กะทัดรัด Trezor One ทำจากพลาสติก ส่วน Trezor Model T ให้ความรู้สึกในระดับพรีเมียม |
UI |
ใช้งานค่อนข้างยากเนื่องจากหน้าจอเล็กและมีปุ่มดำเนินการเพียง 2 ปุ่ม |
Trezor Model T มอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นบนอุปกรณ์ด้วยหน้าจอสัมผัส |
การเชื่อมต่อไร้สาย |
Ledger Nano X รองรับ Bluetooth สำหรับการเชื่อมต่อแบบไร้สาย |
ไม่มีการเชื่อมต่อแบบไร้สาย |
Ledger vs. Trezor: คำตัดสินออกมาแล้ว!
การแข่งขันระหว่าง Ledger กับ Trezor ในเรื่องการเป็น Hardware Wallet ชั้นนำในตลาดในทั้ง 16 หัวข้อออกมาแล้ว! ซึ่งเรายกให้ Trezor เป็นผู้ชนะ โดยเอาชนะ Ledger ไปได้ใน 9 หัวข้อ อย่างไรก็ตาม คำตัดสินเหล่านี้มาจากความชื่นชอบส่วนบุคคล ดังนั้น เราจึงขอให้คุณลองอ่านในทุกๆ หัวข้อ เพื่อทำการเปรียบเทียบอย่างละเอียด และตัดสินใจจากความต้องการหรือความชื่นชอบของตัวคุณเอง
คำถามที่พบบ่อย
จะใช้งาน Trezor หรือ Ledger ดี?
ข้อเสียของ Ledger คืออะไร?
Trezor เป็น Cold Wallet ที่ดีที่สุดใช่หรือไม่?
Ledger ถูกแฮ็กได้หรือไม่?
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉันทำ Trezor ของฉันหาย?
ข้อจำกัดความรับผิด
ข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่บนเว็บไซต์ของเราเผยแพร่ด้วยเจตนาที่ดีและเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น การกระทำใด ๆ ที่ผู้อ่านดำเนินการตามข้อมูลที่พบบนเว็บไซต์ของเราถือเป็นความเสี่ยงของผู้อ่านโดยเฉพาะ Learn ให้ความสำคัญกับข้อมูลคุณภาพสูง เราอุทิศเวลาให้กับการแยกแยะ ค้นคว้า และสร้างเนื้อหาเพื่อการศึกษาซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน เพื่อเป็นการรักษามาตรฐานนี้และเพื่อสร้างเนื้อหาคุณภาพได้อย่างต่อเนื่อง พาร์ตเนอร์ของเราอาจตอบแทนเราด้วยค่าคอมมิชชั่นสำหรับการจัดวางตำแหน่งต่าง ๆ ในบทความของเรา อย่างไรก็ดี ค่าคอมมิชชั่นนี้ไม่มีผลต่อกระบวนการของเราในการสร้างเนื้อหาที่ไร้อคติ ตรงไปตรงมา และเป็นประโยชน์