HODL คือ คำแสลงวงการคริปโต สื่อว่าการถือเหรียญคริปโตไว้ระยะยาว จริงๆ มาจาก HOLD ที่แปลว่าถือเอาไว้นั่นเอง
ในโลกของการลงทุนไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นหรือคริปโตเคอเรนซี่นั้นมีรูปแบบที่หลากหลาย ในขณะที่นักลงทุนบางรายอาจเลือกเทคนิคในการซื้อขายรายวัน แต่นักลงทุนบางกลุ่มอาจลงทุนในระยะยาวหลักปี ในโลกคริปโต HODL คืออะไร ที่มาของมันมาจากไหนกันแน่และมันมีประโยชน์อะไรในการลงทุน
การถือครองสินทรัพย์เป็นระยะเวลานาน ย่อมมาพร้อมกับความเสี่ยงด้านเวลา ยิ่งกับสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงอย่างคริปโต นักลงทุนต้องเข้าใจพื้นฐานของสินทรัพย์นั้นเป็นอย่างดี
ในตลาดคริปโตเหรียญที่ผู้คนมักคือครองระยะยาว มักจะเป็น Bitcoin และ Ethereum ยกตัวอย่างเช่น Michael Saylor และ Ray Dalio นักลงทุนชื่อดังระดับโลกที่ถือครองสินทรัพย์เหล่านี้ในระยะยาว
HODL คือ อะไร?
HODL คือ คำแสลงวงการคริปโต สื่อว่าการถือเหรียญคริปโตไว้ระยะยาว จริงๆ มาจาก HOLD ที่แปลว่าถือเอาไว้นั่นเอง โดยปัจจุบัน HODL จะย่อมาจากคำว่า Hold On for Dear Life นั่นเอง
จุดเริ่มต้นของศัพท์คำนี้ มาจากกระทู้ที่พูดคุยเกี่ยวกับ Bitcoin ในปี 2013 บน Bitcointalk โดยชาวเน็ตผู้ใช้นามแฝงชื่อ GameKyuubi เขาใช้คำนี้ครั้งแรกในโพสเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม หลังการแบนบริษัทบริการชำระเงินที่ให้บริการแก่กระดานซื้อขายคริปโตของรัฐบาลจีนทำให้ราคาของ BTC ลดลงไปกว่า 39% จาก 716 ดอลลาร์ไปเป็น 438 ดอลลาร์
รู้หรือไม่จริงๆ แล้ว HODL มาจาก HOLD
ในโพสของเขาไม่ว่าจะเกิดจากอาการเมาหรือพิมพ์ผิด แทนที่เขาจะเขียนว่า “I AM HOLDING” ที่แปลว่า ฉันยังคงถืออยู่ กลายเป็น “I AM HODLING” จนสุดท้ายคำผิดได้กลายเป็นคำแสลงในหมู่ชุมชนชาวคริปโต และเพิ่มความหมายให้มันอีกว่าย่อมาจาก “Hold on for dear life” หลังจากนั้น 1 ปี BTC เข้าสู่ตลาดกระทิงพุ่งสูงถึง 1,100 ดอลลาร์
แม้ที่มาที่ไปของมันอาจดูเป็นเรื่องขบขัน แต่มันคือกลยุทธ์การลงทุนรูปแบบหนึ่งในการทำกำไรในวงการคริปโต สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือ ค้นหาเหรียญที่แข็งแกร่ง มีอนาคตในระยะยาว ซื้อมันมาเก็บไว้และรอเวลาเพื่อให้มูลค่าของมันเติบโต
อ้างอิงจากมูลค่าของเหรียญต่างๆ ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2017 และ 2018 บน Coinmarketcap ช่วงตลาดกระทิงที่ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่รู้จักคริปโตเป็นครั้งแรก หากเรา HODL คริปโต 6 เหรียญที่มีอายุเกิน 1 ปี จาก Top 10 เป็นเวลา 1 ปี เราจะเห็นได้ว่า
Bitcoin: 1753 ดอลลาร์ เป็น 8834 ดอลลาร์ คิดเป็น 504 เปอร์เซ็นต์
Ethereum: 94.59 ดอลลาร์ เป็น 737.22 ดอลลาร์ คิดเป็น 779 เปอร์เซ็นต์
Ripple: 0.237 ดอลลาร์ เป็น 0.749 ดอลลาร์ คิดเป็น 316 เปอร์เซ็นต์
Bitcoin Cash: 555.89 ดอลลาร์ เป็น 1455.56 ดอลลาร์ คิดเป็น 261 เปอร์เซ็นต์
Litecoin: 27.27 ดอลลาร์ เป็น 147.44 ดอลลาร์ คิดเป็น 540 เปอร์เซ็นต์
Stellar: 0.038 ดอลลาร์ เป็น 0.372 ดอลลาร์ คิดเป็น 978 เปอร์เซ็นต์
กลยุทธ์การ HODL เหรียญ ดีอย่างไร
ดังที่กล่าวไปข้างต้น ข้อดีของกลยุทธ์ HODL คือ นักลงทุนไม่จำเป็นต้องกังวลกับความผันผวนรายวัน หากพวกเขาศึกษาสินทรัพย์ที่พวกเขาลงทุนไปแล้วมาเป็นอย่างดี เนื่องจากอุตสาหกรรมคริปโตยังคงเล็กมาก จึงมีโอกาสในการเติบโตสูง
- Upside ของอุตหกรรมยังไม่ถูกจำกัด
ยกตัวอย่างเช่น ตลาดกระทิงในปี 2021 เหรียญ SOL ของ Solana เติบโตกว่า 10,000% ภายในปีเดียว ในขณะที่ BTC มีมูลค่าถึง 60,000 ดอลลาร์ ณ จุดสูงสุด
นั่นหมายว่าความว่า หากคุณถือครองเหรียญไว้ในระดับปี คุณจะสามารถทำกำไรได้หลายเท่าจากเงินต้น และหากอุตสาหกรรมยังคงเติบโตต่อไปเรื่อยๆ คุณอาจส่งผ่านความมั่งคั่งของคุณไปให้กับลูกหลานของคุณก็ได้ Bitcoin เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่นิยมมากที่สุดในกรณีนี้
- การรักษาความมั่งคั่งจากเงินเฟ้อ
นักลงทุนคริปโตส่วนหนึ่งที่เรียกว่า Bitcoiner มองว่า Bitcoin มีความสามารถในการรักษาความมั่งคั่งต่ออัตราเงินเฟ้อ ที่คอยกัดกินเงิน Fiat ให้เสื่อมมูลค่าลง และเชื่อมั่นอีกว่า BTC เป็นเครื่องมือที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าทองคำ
ในแง่นี้กลุ่มที่ถือครองระยะยาว จะให้ความสำคัญกับความสามารถในการกระจายอำนาจของ Bitcoin ที่ไม่มีใครสามารถแทรกแซงอุปทานของมันที่มีอยู่เพียง 21,000,000 เหรียญเท่านั้น หากมีการยอมรับและการใช้งานมากขึ้น อุปสงค์ที่เพิ่มจะทำให้มูลค่าของมันสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามความหายากของมัน
แตกต่างจากเงิน Fiat ที่ธนาคารกลางหรือ FED มักทำ QE เพื่อเพิ่มอุปทานของเงินและอัดฉีดเข้าระบบ ทำให้มูลค่าของเงินเสื่อมไปตามราคา ดังที่เห็นได้ว่า ราคาก๋วยเตี๋ยวหรือข้าวกล่องราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะเวลา
จากข้อมูลของ deVere Group ที่สำรวจกลุ่มตัวอย่างจำนวน 700 คน จากทั่วทุกมุมโลกพบว่า 67% ของนักลงทุนกลุ่ม millennial มองว่า Bitcoin เป็นสินทรัพย์แห่งอนาคตที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าทองคำเสียอีก
ความเสี่ยงของการ HODLING
แม้ว่าการลงทุนระยะยาวจะทำให้นักลงทุนไม่ต้องกังวลกับความผันผวนระยะสั้นมากนัก แต่พวกเขาต้องเผชิญความเสี่ยงรูปแบบอื่น
- ความเสี่ยงจากระยะเวลาในการถือครอง (time-exposure)
ในตลาดคริปโตเคอเรนซี่ที่มีสินทรัพย์นับหมื่นเหรียญ มีเหรียญมากมายที่ล้มหายตายจากไป โดยไม่ฟื้นกลับมา ทำให้นักลงทุนสูญเสียเงินต้นแทบจะทั้งหมด หรืออาจสูญทั้งหมดเลยก็เป็นได้ ในขณะที่นักลงทุนระยะสั้นและกลาง อาจเลือก cut loss เพื่อรักษาเงินต้นไว้ได้ส่วนหนึ่ง นอกจากนี้นโยบายของทางสินทรัพย์อาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ทำให้มีความเสี่ยงใหม่ๆ เกิดขึ้น
- ไม่ได้เข้าใจสินทรัพย์อย่างถ่องแท้
การทำศึกษาพื้นฐานของสินทรัพย์นับเป็นปัจจัยหลักของการลงทุนระยะยาว นักลงทุนต้องแน่ใจว่ามีความรู้ที่มากพอในการศึกษา Whitepaper, Tokenomics, และกลไกต่างๆ ที่ซับซ้อน
ส่วนใหญ่แล้วสิ่งนี้เป็นเรื่องที่ยากสำหรับนักลงทุน พวกเขาต้องเข้าใจความเสี่ยงของอุปทาน เงือนไขทางนโยบาย การเปลี่ยนแปลงทางด้านนโยบาย และช่องโหว่ทางเทคโนโลยีหรือ Smart Contract ที่เป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากสินทรัพย์อื่นๆ
- ความเสี่ยงจากกฎหมายที่คลุมเครือ
การถือครองเป็นระยะเวลานานในอุตสาหกรรมเกิดใหม่ที่กฎหมายยังไม่ชัดเจน แม้จะมีโอกาสในการเติบโตที่ไม่จำกัดแต่ต้องเผชิญความเสี่ยงด้านกฎหมาย
ล่าสุดนับตั้งแต่ต้นปี 2023 หลังการล่มสลายของ FTX ในปี 2022 หน่วยงานกำกับดูแลโดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกาบังคับใช้กฎหมายต่ออุตสาหกรรมมากมาย
ทั้งคว่ำบาตรแพลตฟอร์มอย่าง Tornado Cash สั่งยุติการมิ้นท์ BUSD หนึ่งในเหรียญ Stablecoin ที่นิยมมากที่สุด สั่งปิดบริการ Staking-as-a-service และยังมีความคลุมเครือด้านกรอบการกำกับดูแลอีกมากมาย โดยเฉพาะการโจมตีคริปโตว่าเป็นหลักทรัพย์ไม่จดทะเบียน
ความคลุมเครือเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่ม HODLer ที่ต้องการถือครองระยะยาว พวกเขาจะต้องเผชิญความเสี่ยงเหล่านี้ อีกทั้งนโยบายด้านภาษีและนโยบายภายในประเทศของผู้ถือครองก็ยังไม่แน่ชัดในปัจจุบัน (อ่านเทรนการลงทุนคริปโตปี 2023 ต่อได้ที่นี่)
ข้อจำกัดความรับผิด
ข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่บนเว็บไซต์ของเราเผยแพร่ด้วยเจตนาที่ดีและเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น การกระทำใด ๆ ที่ผู้อ่านดำเนินการตามข้อมูลที่พบบนเว็บไซต์ของเราถือเป็นความเสี่ยงของผู้อ่านโดยเฉพาะ Learn ให้ความสำคัญกับข้อมูลคุณภาพสูง เราอุทิศเวลาให้กับการแยกแยะ ค้นคว้า และสร้างเนื้อหาเพื่อการศึกษาซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน เพื่อเป็นการรักษามาตรฐานนี้และเพื่อสร้างเนื้อหาคุณภาพได้อย่างต่อเนื่อง พาร์ตเนอร์ของเราอาจตอบแทนเราด้วยค่าคอมมิชชั่นสำหรับการจัดวางตำแหน่งต่าง ๆ ในบทความของเรา อย่างไรก็ดี ค่าคอมมิชชั่นนี้ไม่มีผลต่อกระบวนการของเราในการสร้างเนื้อหาที่ไร้อคติ ตรงไปตรงมา และเป็นประโยชน์