การขุดบิตคอยน์ (Bitcoin Mining) คือ การแก้สมการตัวเลขเข้ารหัสที่ซับซ้อนเพื่อทำการยืนยันธุรกรรมดังกล่าวและเพิ่มบล็อกข้อมูลใหม่ลงไปในบัญชีแยกประเภทของบล็อกเชน (Blockchain) ของ Bitcoin ซึ่งผู้ที่แก้สมการดังกล่าวได้สำเร็จก่อนก็จะได้รับบิตคอยน์ ไปเป็นรางวัล
บิตคอยน์ (Bitcoin) นั้นคือสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกที่ใครต่างๆ ก็อยากจะมีไว้ในครอบครอง นอกเหนือไปจากการซื้อขายบนกระดานเทรดสกุลเงินดิจิทัลแล้ว การขุดบิตคอยน์ (Bitcoin Mining) ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้เราสามารถเป็นเจ้าของ Bitcoin ได้
การขุดบิตคอยน์นั้นก็คล้ายๆ กับการขุดทอง ซึ่งต่างก็เป็นกระบวนการที่สิ้นเปลืองเวลาและพลังงาน แต่ผลตอบแทนที่ได้รับกลับมานั้นก็เรียกได้ว่าคุ้มค่าสมกับที่ได้ลงทุนลงแรงไปแน่นอน
ดังนั้น ในบทความนี้ เราจะมาเรียนรู้ไปด้วยกันว่า “การขุดบิตคอยน์” คืออะไร? เราขุดบิตคอยน์ไปเพื่ออะไร? แล้วมันจะสร้างรายได้ให้กับเราได้อย่างไร? ถ้าคุณพร้อมแล้ว ก็ไปกันเลย!
คุณต้องการรับข่าวสาร Crypto ที่ร้อนแรงที่สุดและเรียนรู้ว่านักเทรดมืออาชีพทำอย่างไรในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้หรือไม่? มาเข้าร่วม BeInCrypto Trading Community บน Telegram: อ่านข่าวต่างๆ, สอบถามเรื่องการวิเคราะห์ทางเทคนิค, และรับคำตอบเหล่านั้นจากนักเทรดมืออาชีพ!
หัวข้อต่างๆ ในบทความ
การขุดบิตคอยน์ (Bitcoin Mining) คืออะไร?
การขุดบิตคอยน์ (Bitcoin Mining) นั้นคือการแก้สมการตัวเลขเข้ารหัสที่ซับซ้อนเพื่อทำการยืนยันธุรกรรมดังกล่าวและเพิ่มบล็อกข้อมูลใหม่ลงไปในบัญชีแยกประเภทของบล็อกเชน (Blockchain) ของ Bitcoin ซึ่งผู้ที่แก้สมการดังกล่าวได้สำเร็จก่อนก็จะได้รับเหรียญ BTC ไปเป็นรางวัล
วิธีการนี้ยังไม่จำกัดเฉพาะเพียง Bitcoin เท่านั้น แต่มันยังเป็นวิธีการขุดเหรียญสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ ที่เป็นบล็อกเชนแบบ Proof of Work อีกด้วย (เช่น Litecoin, Dogecoin, ETHPoW เป็นต้น)
การขุดเหรียญนั้นนอกจากจะเป็นการแข่งขันกันเพื่อรับรางวัลแล้ว มันยังเป็นการรักษาความปลอดภัยให้กับเครือข่ายด้วย เนื่องจากการที่นักขุดจะต้องแข่งขันกันเพื่อตรวจสอบและยืนยันธุรกรรมนั้นมันจะช่วยป้องกันการทุจริตต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นกับเครือข่ายบล็อกเชนอีกด้วย
หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ นักขุด จะต้องแข่งขันกับนักขุดรายอื่นๆ โดยการใช้การประมวลผล (Hashrate) เพื่อแก้ไขสมการตัวเลข (Hash Puzzle) ให้สำเร็จเพื่อยืนยันธุรกรรมและรับสิทธิ์ในการเพิ่มบล็อกข้อมูลใหม่เพื่อรับรางวัลเป็นสกุลเงินดิจิทัลนั่นเอง
การขุดบิตคอยน์นั้นผิดกฏหมายในบางประเทศ เช่น ประเทศจีน เป็นต้น
Hash ค่าที่นักขุดต้องแข่งขันกันเพื่อแก้ไข
ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า กระบวนการของบล็อกเชนแบบ Proof of Work นั้นเป็นอย่างไร เพื่อที่เราจะสามารถเข้าใจเรื่องการแข่งขันเพื่อแก้สมการตัวเลขได้ดียิ่งขึ้น
บล็อกเชนนั้นคือบัญชีแยกประเภท (Distributed Ledger) ที่ใช้บันทึกธุรกรรมของ Bitcoin ทั้งหมด โดยข้อมูลของธุรกรรม (เช่น จำนวนเงินในการทำธุรกรรรม, ช่วงเวลาที่ทำธุรกรรม, กระเป๋าเงินที่ทำธุรกรรม) จะถูกบันทึกลงใน “บล็อก” โดยในแต่ละบล็อก จะมีองค์ประกอบอยู่ 4 อย่างคือ
- Previous Hash : บล็อกจะเก็บค่าแฮช (Hash) ของบล็อกก่อนหน้าไว้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้บล็อกกลายเป็นบล็อกเชน (Block + Chain = บล็อกที่เชื่อมต่อกัน)
- Data : ชุดข้อมูลของธุรกรรม — ที่ถูกขุด, ยืนยัน, และบันทึกเก็บไว้ในบล็อก
- Nonce : ค่าสุ่มที่ใช้แปลงผลลัพธ์ค่า Hash ซึ่งทุกบล็อกนั้นจะมีการสร้างค่าแฮชขึ้นมา และ Nonce นั้นคือพารามิเตอร์ที่ใช้สร้างค่าแฮชขึ้นมานั่นเอง
- Hash : ค่าที่ได้รับจากการแปลงค่า Previous Hash, Data, Nonce ผ่านอัลกอริธึม SHA-256 ซึ่งถือว่าเป็นลายเซ็นดิจิทัลของบล็อก
สิ่งที่นักขุดนั้นต้องแข่งขันกันทำก็คือการ “เดา” Hash เป้าหมาย โดยการสุ่มสร้าง “Nonce” ให้ได้มากที่สุด — ซึ่ง Nonce นั้นจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้าง Hash ขึ้นมา — นักขุดคนแรกที่สร้าง Nonce สร้าง Hash ที่น้อยกว่าหรือเท่ากับ Hash เป้าหมายขึ้นมาได้ก็จะได้รับสิทธิ์ในการเพิ่มบล็อกข้อมูลนั้นๆ และจะได้รับรางวัลเป็น BTC ไป
ยิ่งนักขุดมีพลังในการประมวลผลมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งมีโอกาสในการแก้สมการตัวเลขได้ก่อนใคร ดังนั้น มันจึงเป็นเหตุผลที่ว่าการขุดบิตคอยน์นั้นต้องการอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งทำให้มันมีราคาที่แพงตามมา
เครื่องขุด Bitcoin นั้นจะต้องประกอบด้วยอะไรบ้าง
เดิมที การประกอบเครื่องขุด Bitcoin ให้มีประสิทธิภาพสูงนั้นก็เหมือนการประกอบคอมพิวเตอร์สำหรับเล่นเกม โดยจะเน้นไปที่ตัว GPU หรือก็คือ การ์ดจอ เป็นหลัก เพื่อให้ได้การประมวลผลที่สูงยิ่งขึ้น ยิ่งการ์ดจอแรง ยิ่งประมวลผลได้ดียิ่งขึ้น (ซึ่งเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้การ์ดจอมีราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา)
แต่ในปัจจุบันนั้น เครื่องขุด Bitcoin ยังมีสิ่งที่เรียกว่า Application-Specific Integrated Circuits หรือ ASICs — ซึ่งเป็นวงจรรวมที่ได้รับการออกแบบมาสำหรับการขุดเหรียญโดยเฉพาะ — โดยจะมาช่วยเพิ่มพลังในการประมวลผลให้กับเครื่องขุด Bitcoin นอกเหนือไปจาก GPU ที่มีอยู่
ทั้ง 2 อย่างนี้เป็นองค์ประกอบหลักสำหรับการประกอบเครื่องขุด Bitcoin ที่มีประสิทธิภาพ และอีกหนึ่งองค์ประกอบที่สำคัญไม่แพ้กันคือ PSU หรือ Power Supply เนื่องจากการขุด Bitcoin นั้น เราจำเป็นที่จะต้องเปิดเครื่องไว้ตลอดเวลาเพื่อทำการขุดเหรียญ ดังนั้น เราจะต้องเลือกใช้ PSU ที่มีประสิทธิภาพการจ่ายไฟที่เสถียรและทนทานเนื่องจากมันจะต้องจ่ายไฟอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
นอกเหนือจากการประกอบเครื่องขุดเองแล้ว อีกหนึ่งตัวเลือกในการขุด Bitcoin นั้นคือการใช้บริการเว็บไซต์ Cloud Mining ซึ่งก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการจะลงทุนเครื่องขุด Bitcoin ที่มีราคาสูง
เว็บไซต์ Cloud Mining คืออะไร?
Cloud Mining คือกระบวนการการขุดเหรียญ Crypto ด้วยการเช่าพลังการประมวลผล (Hashrate) จากผู้ให้บริการ โดยที่ผู้ใช้งานไม่ต้องเสียเงินก้อนใหญ่ไปกับการลงทุนกับเครื่องขุด Bitcoin และไม่จำเป็นที่จะต้องมานั่งกังวลเรื่องการจัดการกับอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ต่างๆ ด้วยตนเอง ประโยชน์อีกอย่างของการใช้บริการ Cloud Mining คือเราจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับค่าไฟ แต่แลกมาด้วยการที่จะต้องจ่ายค่าบริการรายเดือนแทน เพราะจะต้องเลือกใช้งานเว็บไซต์ Cloud Mining ที่มีความน่าเชื่อถือแทน ซึ่งเราได้รวบรวมรายละเอียดโดยสรุปของเว็บไซต์ผู้ให้บริการ Cloud Mining ที่ดีที่สุดในปี 2023 มาไว้ให้คุณแล้ว
รายละเอียดบริการ Cloud Mining ชั้นนำโดยสรุป
1. BeMine | เว็บไซต์
- ราคา: ราคาเริ่มต้นที่ 44.22 ดอลลาร์ ค่าไฟฟ้า 0.057 กิโลวัตต์/ชั่วโมง ความปลอดภัยและค่าบริการฟรี
- เหรียญที่รองรับ: รองรับ Bitcoin และเหรียญต่างๆ โดยใช้อัลกอริธึม Ethash และ Scrypt
- ความเสี่ยงในการฉ้อโกง: ต่ำ
- อัตราการจ่ายเงิน: รายวัน
- เป็นแอปมือถือ: ใช่
2. StormGain | เว็บไซต์
- ราคา: ฟรี
- เหรียญที่รองรับ: BTC
- ความเสี่ยงในการฉ้อโกง: ต่ำ
- อัตราการจ่ายเงิน: ทุกๆ 30-40 นาที
- เป็นแอปมือถือ: ใช่
3. Ecos | เว็บไซต์
- ราคา: ขั้นต่ำที่ 150 ดอลลาร์
- เหรียญที่รองรับ: BTC
- ความเสี่ยงในการฉ้อโกง: ต่ำ
- อัตราการจ่ายเงิน: รายวัน
- เป็นแอปมือถือ: ใช่
4. Hashing24 | เว็บไซต์
- ราคา: 0.00192480 BTC /12 เดือน, 0.00288721 BTC /18 เดือน, 0.00384961 BTC /24 เดือน
- เหรียญที่รองรับ: BTC
- ความเสี่ยงในการฉ้อโกง: ต่ำ
- อัตราการจ่ายเงิน: รายวัน
- เป็นแอปมือถือ: ไม่
5. KuCoin | เว็บไซต์
- ราคา: 2%
- เหรียญที่รองรับ: BTC และ BCH
- ความเสี่ยงในการฉ้อโกง: ต่ำ
- อัตราการจ่ายเงิน: รายวัน
- เป็นแอปมือถือ: ใช่
6. Nicehash | เว็บไซต์
- ราคา: 2% ฟาร์มขุดขนาดใหญ่มีสิทธิ์ได้รับโครงสร้างค่าธรรมเนียมแบบก้าวหน้า, ค่าธรรมเนียมการขุดสามารถลดลงจาก 2% เหลือ 0.5% ได้ขึ้นอยู่กับ Hashrate ของการมีส่วนร่วม
- เหรียญที่รองรับ: Bitcoin, Beam, Raven, และ Crypto อื่นๆ
- ความเสี่ยงในการฉ้อโกง: ต่ำ
- อัตราการจ่ายเงิน: ทุกๆ 4 ชั่วโมง
- เป็นแอปมือถือ: ใช่
7. Bitdeer | เว็บไซต์
- ราคา: ลงทุนขั้นต่ำ 542 ดอลลาร์ ซึ่งจะครอบคลุม 50TH/วินาที
- เหรียญที่รองรับ: BTC, BCH, FIL, ZEC, CKB, HNS, DOGE และอื่นๆ อีกมากมาย
- ความเสี่ยงในการฉ้อโกง: ต่ำ
- อัตราการจ่ายเงิน: เมื่อยอดรายได้ของแผนถึงค่าเกณฑ์ขั้นต่ำของกลุ่ม จะจ่ายให้ในวันถัดไป (ภายใน 24 ชั่วโมง)
- เป็นแอปมือถือ: ใช่
8. Genesis Mining | เว็บไซต์
- ราคา: ลงทุนขั้นต่ำ 500 ดอลลาร์
- เหรียญที่รองรับ: BTC, DASH, LTC, XMR, ZEC
- ความเสี่ยงในการฉ้อโกง: ต่ำ
- อัตราการจ่ายเงิน: รายวัน
- เป็นแอปมือถือ: ไม่
9. Hashshiny | เว็บไซต์
- ราคา: ลงทุนขั้นต่ำ 10 ดอลลาร์, ค่าบำรุงรักษา 0.15-0.95 ดอลลาร์ ต่อ (GH/ TH/ KH)/วินาที ขึ้นอยู่กับอัลกอริทึมการแฮช
- เหรียญที่รองรับ: BTC, LTC, ETC, DASH, DCR, ZEC, DOGE
- ความเสี่ยงในการฉ้อโกง: ต่ำ
- อัตราการจ่ายเงิน: รายวัน
- เป็นแอปมือถือ: ใช่
ถ้าอยากทราบรายละเอียดข้อมูลของเว็บไซต์ผู้ให้บริการ Cloud Mining ต่างๆ เพิ่มเติม สามารถเข้าไปดูได้ที่บทความ “ไซต์ Cloud Mining ที่ดีที่สุดในปี 2023: คู่มือสำหรับมือใหม่” ซึ่งจะเจาะลึกของเว็บไซต์ผู้ให้บริการรายต่างๆ รวมไปถึง ข้อดีและข้อเสียด้วย
มือใหม่อยากขุด Bitcoin ต้องทำอย่างไร?
อันที่จริงแล้ว สำหรับฝั่งผู้ใช้งานอย่างเรานั้น ถ้าตัดเรื่องการทำความเข้าใจในเรื่องทางเทคนิคออกไป การขุด Bitcoin นั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยาก แม้แต่มือใหม่เองก็สามารถลงทุนเพื่อขุด Bitcoin ได้ไม่ยาก ซึ่งสิ่งที่เราต้องทำก็เพียงแค่
- จัดเตรียมเครื่องขุด Bitcoin : ไม่ว่าจะเป็นเครื่องขุดสเปคสูงที่เราประกอบด้วยตนเอง หรือจะซื้อเครื่องขุด Bitcoin (ASIC) สำเร็จรูปก็ตาม ให้เรามองหาเครื่องที่มีพลังการประมวลผล (Hashrate) มากที่สุดที่สามารถลงทุนได้ ยิ่ง Hashrate มาก ก็หมายความว่ามันจะมีกำลังในการขุดมากขึ้น ทำให้มันทำรายได้ให้คุณรวดเร็วยิ่งขึ้น
- เลือกโปรแกรมขุด Bitcoin ที่มีประสิทธิภาพ : เมื่อได้เครื่องขุดมาแล้ว ก็ต้องเลือกโปรแกรมขุด Bitcoin โดยสามารถเลือกได้ตามลิสต์ด้านล่าง ซึ่งเป็น 10 อันดับโปรแกรมขุด Bitcoin ที่ดีที่สุดที่ได้รับการทดสอบแล้วจากเว็บไซต์ Software Testing Help
- สมัคร/ซื้อกระเป๋าเงินคริปโต ไว้สำหรับจัดเก็บเหรียญ : แน่นอนว่า เมื่อเราขุด Bitcoin ขึ้นมาแล้ว เราก็จำเป็นที่จะต้องหากระเป๋าเงินไว้สำหรับจัดเก็บเหรียญ BTC ของเราที่ขุดขึ้นมาได้ โดยสามารถเลือกใช้กระเป๋าเงินคริปโตต่างๆ ได้มากมาย ซึ่งสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ “Hot Wallets vs. Cold Wallets: ความแตกต่างคืออะไร?”
- เลือกกลุ่มขุด (Mining Pool) หรือทำการขุดด้วยตนเอง : Mining Pool คือกลุ่มที่เหล่านักขุดเข้ามาร่วมกันขุด โดยจะเป็นการนำประสิทธิภาพการของขุดของแต่ละคนมารวมกัน และจะแบ่งรางวัลให้กับนักขุดแต่ละคนตามสัดส่วนของความสามารถของการขุดแต่ละคน วิธีนี้จะทำให้เรามีโอกาสในการได้รับรางวัลเพิ่มมากขึ้น แต่แลกมาด้วยรางวัลที่ได้รับนั้นจะลดลงกว่าการขุดด้วยตนเอง ซึ่งการขุดด้วยตนเองนั้น เราจะได้รับรางวัลไปคนเดียวเต็มๆ แต่โอกาสที่เราจะได้รับรางวัลก็ยากมาก เนื่องจากความต้องการความสามารถในการประมวลผลที่สูงมาก (ทำให้ต้องการอุปกรณ์การขุดที่มีราคาแพง) อีกทั้งยังมีเรื่องการแข่งขันของการขุดที่สูงอีกด้วย
ในปัจจุบัน มันเป็นเรื่องยากมากที่นักขุดคนเดียวจะสามารถแข่งขันกับกล่มการขุดเพื่อรับรางวัลได้
ขุดอย่างไรให้ได้เหรียญเยอะขึ้น?
ก็อย่างที่เราได้กล่าวไปแล้วในหัวข้อต่างๆ การที่เราจะขุดให้ได้เหรียญ BTC เยอะๆ นั้น มันก็ขึ้นกับพลังประมวลผล (Hashrate) ของอุปกรณ์ หลักๆ แล้ว สิ่งที่ทำให้เครื่องขุดมี Hashrate ที่สูงนั้นก็มาจากความสามารถของ GPU ของคุณ ยิ่ง GPU แรงเท่าไหร่ Hashrate ก็จะยิ่งสูงมากขึ้นไปเท่านั้น
โดยปัจจุบันนั้น มีการ์ดจอที่ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับการขุด Bitcoin โดยเฉพาะ อย่างเช่น การ์ดจอของ Nvidia ที่เป็นรุ่น CMP HX (เช่น MSI CMP 50HX) หรือรุ่นที่ต่อท้ายด้วย Miner (เช่น MSI GeForce RTX 3060 Ti Miner 8G) การ์ดจอเหล่านี้เป็นการ์ดจอที่ถูกออกแบบมาให้รองรับการขุด Crypto โดยเฉพาะ ทำให้มีประสิทธิภาพให้การทำรายได้ต่อหน่วยไฟฟ้ามากกว่าการ์ดจอแบบที่ใช้งานตามปกติทั่วไป
ทั้งนี้ทั้งนั้น ยิ่ง GPU แรงเท่าไหร่ ราคาของมันก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น ดังนั้น ก่อนที่จะทำการลงทุน ให้ศึกษาข้อมูลให้ดีว่า GPU ที่เลือกใช้งานนั้นมีประสิทธิภาพคุ้มกับเงินที่จะจ่ายไปหรือไม่
Bitcoin Halving อีกเรื่องที่นักขุด Bitcoin ต้องรู้!
Bitcoin Halving นั้นคือการที่รางวัลของการขุด Bitcoin ลดลงครึ่งหนึ่ง ซึ่งปรากฏการณ์ Halving นี้จะเกิดขึ้นทุกๆ 4 ปี ซึ่งเป็นนโยบายที่มีอยู่ในอัลกอริธึมการขุดของ Bitcoin เพื่อเป็นการต่อต้านอัตราเงินเฟ้อด้วยการก่อให้เกิดความขาดแคลน (Scarcity)
การ Halving นี้ก่อให้เกิดทั้งข้อดีและข้อเสียต่อการขุด Bitcoin โดยข้อเสียนั้นก็คือ เมื่อเทียบกับก่อนการ Halving แล้ว การขุดจะใช้พลังงานเท่าเดิม, มีค่าความเสื่อมอุปกรณ์เท่าเดิม, ใช้เวลาเท่าเดิม แต่รางวัลที่ได้นั้นกลับจะต้องลดลงครึ่งนึง
แต่สำหรับข้อดีของมันนั้น ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น มันเป็นการต่อต้านอัตราเงินเฟ้อด้วยการก่อให้เกิดความขาดแคลนโดยการลดอุปทานลงครึ่งนึง และเมื่ออุปทาน (รางวัลเหรียญ BTC) ลดลงในขณะที่อุปสงค์ (ความต้องการ) ยังคงเท่าเดิม มันก็จะทำให้ราคาของ Bitcoin นั้นพุ่งสูงขึ้น โดยดูได้จากประวัติการ Halving ในอดีตของมัน
สถานการณ์ทางเศรษฐกิจใดๆ นั้นก็อาจจะส่งผลต่อราคาของ Bitcoin ได้เช่นกัน เช่นที่คุณสามารถเห็นได้ในช่วงที่ COVID-19 ระบาด เป็นต้น
การขุดบิตคอยน์ (Bitcoin Mining) นั้นไม่ใช่เรื่องที่ยาก อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลอีกหลายอย่างที่จะต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจก่อนที่จะทำการลงทุนในการขุดบิตคอยน์ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนขุดด้วยตนเองหรือใช้บริการ Cloud Mining จากเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น ดังนั้น โปรดศึกษาข้อมูลต่างๆ ให้ดีก่อนการลงทุน
ข้อจำกัดความรับผิด
ข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่บนเว็บไซต์ของเราเผยแพร่ด้วยเจตนาที่ดีและเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น การกระทำใด ๆ ที่ผู้อ่านดำเนินการตามข้อมูลที่พบบนเว็บไซต์ของเราถือเป็นความเสี่ยงของผู้อ่านโดยเฉพาะ Learn ให้ความสำคัญกับข้อมูลคุณภาพสูง เราอุทิศเวลาให้กับการแยกแยะ ค้นคว้า และสร้างเนื้อหาเพื่อการศึกษาซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน เพื่อเป็นการรักษามาตรฐานนี้และเพื่อสร้างเนื้อหาคุณภาพได้อย่างต่อเนื่อง พาร์ตเนอร์ของเราอาจตอบแทนเราด้วยค่าคอมมิชชั่นสำหรับการจัดวางตำแหน่งต่าง ๆ ในบทความของเรา อย่างไรก็ดี ค่าคอมมิชชั่นนี้ไม่มีผลต่อกระบวนการของเราในการสร้างเนื้อหาที่ไร้อคติ ตรงไปตรงมา และเป็นประโยชน์