FOMO หรือ Fear Of Missing Out คือ “ความกลัวที่จะพลาดโอกาส” เป็นความรู้สึกที่มักจะเกิดขึ้นเมื่อได้รับรู้ หรือเห็นว่าคนอื่นๆ กำลังมีช่วงเวลาที่ดี, รู้ในสิ่งที่ตนเองไม่รู้, ได้รับโอกาสที่ตนเองไม่ได้รับ
“เฮ้ เพื่อน เมื่อวานหายไปไหนมา รู้มั้ยว่าพลาดโอกาสทองแล้ว ราคา Bitcoin พุ่งกระฉูดไป 30k กว่าๆ แล้ว” นี่คือตัวอย่างของบทสนทนาที่มักจะทำให้เหล่านักเทรดหน้าใหม่เกิดอาการ FOMO ซึ่งเป็นความกลัวหรือความกังวลว่าพวกเขากำลังจะพลาดโอกาสสำคัญในซื้อขายหรือลงทุน ในบทความนี้ เราจะมาดูกันว่า FOMO คืออะไร? อาการแบบไหนถึงจะเรียกว่าเข้าข่าย FOMO และเราจะเอาชนะมันได้อย่างไร?
FOMO คืออะไร?
FOMO ย่อมาจากคำว่า Fear Of Missing Out หมายถึง “ความกลัวที่จะพลาดโอกาส” เป็นความรู้สึกที่มักจะเกิดขึ้นเมื่อได้รับรู้ หรือเห็นว่าคนอื่นๆ กำลังมีช่วงเวลาที่ดี, รู้ในสิ่งที่ตนเองไม่รู้, ได้รับโอกาสที่ตนเองไม่ได้รับ ฯลฯ ซึ่งมักจะนำไปสู่ความรู้สึกในแง่ลบ ทำให้เกิดความไม่สบายใจ, ไม่พอใจ, หรือเกิดอาการเครียด เป็นต้น และคงจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า อาการ FOMO เป็นที่แพร่หลายมากยิ่งขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อันมีสาเหตุหลักๆ มาจากการเติบโตของแพลตฟอร์มโซเชียมีเดียจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter, หรือสื่อสังคมใดๆ ก็ตาม ที่ส่งผลกระทบ (ทั้งในทางที่ดีและไม่ดี) ต่อแนวทางการใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบันเป็นอย่างมาก
ในอุตสาหกรรมการลงทุน คำว่า FOMO มักจะถูกใช้ไปในแง่ของอาการ “กลัวตกรถ” ซึ่งเป็นอาการของเหล่านักลงทุน/นักเทรดที่กลัวว่าจะพลาดโอกาสสำคัญ, จะพลาดโอกาสในการทำกำไร หรือจะพลาดโอกาสในการลงทุนก่อนใคร ฯลฯ ในหลายๆ ครั้ง อาการ FOMO มักจะส่งผลให้เกิดการตัดสินใจอย่างไม่รอบคอบ, ขาดเหตุผล/ปัจจัยต่างๆ ประกอบการพิจารณา หรือตัดสินใจไปโดยไม่ตรวจสอบข้อมูลให้ดี ทำให้พวกเขามีโอกาสที่จะสูญเสียได้ ไม่ว่าจะเป็นเงินลงทุน หรือความมั่นใจในการตัดสินใจลงทุนก็ตาม
เกร็ดน่ารู้: มีคำศัพท์อยู่บางคำที่ใช้งานคล้ายๆ กับ FOMO เช่น
- FOBO (Fear Of Better Options) หมายถึง ความกลัวที่จะพลาดตัวเลือกอื่นที่ดีกว่า
- MOMO (Mystery Of Missing Out) หมายถึง ความกลัวที่จะพลาดโอกาส แต่ไม่มีเงื่อนงำถึงสิ่งที่กำลังจะพลาดไป
แบบไหนที่เรียกว่าเข้าข่ายเป็น FOMO?
FOMO เป็นปัญหาหนึ่งที่เหล่านักเทรดจะต้องเผชิญอยู่เสมอ ในหลายๆ ครั้ง มันมักจะส่งผลต่อการตัดสินใจของเรา ทำให้เราเข้าเทรดเร็วจนเกินไป หรือไม่ก็พยายามที่จะไล่ตามจังหวะที่พลาดไปแล้ว เพื่อจะเอาชนะอาการนี้ นักเทรดอาจจะต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ เพราะการปล่อยตัวไปตามอารมณ์หรือความรู้สึกต่างๆ คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดอาการ FOMO เช่นเดียวกับคุณลักษณะต่างๆ ดังต่อไปนี้:
- มีความโลภ: ความโลภทำให้นักเทรดต้องการทุกอย่าง และต้องการมันในทันที หากคุณมักจะรู้สึกเช่นนี้ คุณก็อาจจะเข้าข่ายในการเป็น “FOMO Trader” ได้
- ทำตามคนส่วนใหญ่: ผู้ที่เข้าข่ายเป็น FOMO นั้นมักชอบที่จะทำสิ่งต่างๆ ตามผู้อื่น โดยที่ไม่รู้หรือไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาจึงทำเช่นนั้น ในแง่มุมของการลงทุน การเทรดตามคนอื่นอาจจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายได้เลย
- ใจร้อนจนเกินไป: นักเทรดแบบ FOMO มักจะเป็นคนที่ใจร้อน พวกเขามักจะไม่รั้งรออะไร และจะเข้าสู่การเทรดเพียงเพราะว่ากลัวว่าโอกาสดีๆ จะหายไปเท่านั้น
- ขาดความมั่นใจ: การขาดความมั่นใจเป็นผลลัพธ์อย่างหนึ่งที่ทำให้เหล่านักเทรดประเภทนี้ชอบเทรดตามผู้อื่นโดยขาดความรู้ หลังจากเทรดเสียไม่กี่ครั้ง พวกเขาจะเริ่มขาดความมั่นใจ และพยายามที่จะมองหากลยุทธ์จากนักเทรดคนอื่นๆ ที่ทำผลลัพธ์ได้ดีแทน
- ไม่กล้าตัดสินใจอย่างเด็ดขาด: นักเทรดที่เป็น FOMO มักจะลังเลอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าจะโอกาสที่พวกเขาได้คิดวิเคราะห์มาเป็นอย่างดีแล้ว พวกเขาก็อาจจะเกิดความลังเลอยู่ในใจ ส่งผลให้พลาดโอกาสสำคัญ ซึ่งส่งผลให้เกิดการขาดความมั่นใจในอนาคตได้
- ไม่มีกลยุทธ์ในการเทรด: นักเทรดเหล่านี้มักจะไม่มีกลยุทธ์ในการซื้อขาย สิ่งที่พวกเขาทำก็เพียงแค่การซื้อขายตามอารมณ์หรือความรู้สึก เมื่อราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางใด พวกเขาก็จะคิดว่ามันจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางนั้นตลอดไป
- ไม่มีการจัดการความเสี่ยง: นักเทรดที่เข้าข่ายเป็น FOMO มักจะไม่มีการวางแผนในการจัดการความเสี่ยง (เช่นเดียวกับที่พวกเขามักจะไม่มีกลยุทธ์ในการซื้อขาย) ในหลายๆ ครั้ง เมื่อพวกเขาตัดสินใจเริ่มเทรด ราคาก็วิ่งไปไกลแล้ว ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะมาคิดคำนวนหาจุด SL ที่เหมาะสมได้
ประโยคเด็ดๆ ที่มักจะได้ยินจากนักเทรดแบบ FOMO
- “คนส่วนใหญ่ก็เข้าราคานี้กันทั้งนั้น”
- “ลองคิดดูซิว่าเราจะทำเงินได้มากแค่ไหน…”
- “ลองดูซักทีก็คงไม่เป็นไรมั้ง”
- “คนพวกนี้น่าจะรู้อะไรที่เราไม่รู้แน่ๆ”
- “คิดไว้แล้วว่าจะต้องเป็นแบบนี้”
ปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการ “กลัวตกกระแส” ได้?
ถึงแม้ว่า FOMO จะเป็นความรู้สึกหรืออารมณ์ลึกๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละบุคคล แต่บางครั้ง มันก็มีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้เกิดความรู้สึกเหล่านั้นได้ ต่อไปนี้คือปัจจัยบางส่วนที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าวได้:
- ความผันผวนในตลาดที่เพิ่มขึ้น: ราคาสินทรัพย์ที่ผันผวนเพิ่มมากขึ้นเป็นสิ่งหนึ่งที่มักจะกระตุ้นให้เกิดการ FOMO ได้ เมื่อเกิดการแกว่งตัวของราคาครั้งใหญ่ เหล่า “FOMO Trader” มักจะถูกล่อลวงให้เข้ามามีส่วนร่วมอยู่เสมอ
- ข่าวสารจากโซเชี่ยลมีเดียหรือฟอรัมทางการเงิน: บางครั้ง ข่าวสารทางการเงินที่ปรากฏบนชุมชนคริปโตหรือแหล่งข้อมูลต่างๆ ในโลกโซเชี่ยล ไม่ว่าจะเป็น Twitter, Reddit, Telegram หรืออื่นๆ อีกมากมาย ก็มักจะทำให้นักเทรดเกิดอาการตื่นเต้น และกระโจนเข้าไปร่วมวงกับทุกคนได้
- ข่าวลือหรือได้รับคำแนะนำมา: ในบางครั้ง นักเทรดหน้าใหม่มักจะเข้าซื้อหุ้น/สินทรัพย์ในทันที โดยไม่มีการไตร่ตรองใดๆ เพียงเพราะว่าเขาได้รับคำแนะนำ/ข่าวลือบางอย่างมาจาก “มันนี่โค้ช” หรือ “อินฟลูเอนเซอร์” เพียงเท่านั้น
- ได้หรือเสียมากจนเกินไป: การเทรดได้หรือเสียมากจนเกินไป สามารถสร้างความมั่นใจแบบผิดๆ ให้กับเหล่านักเทรดได้ ในกรณีของการเทรดได้กำไรติดต่อกันบ่อยครั้ง บางทีพวกเขาก็รู้สึกเหมือนเป็นผู้ชนะ เทรดยังไงก็มีแต่ได้กับได้ ทำให้พวกเขาเริ่มทำตามอารมณ์/ความรู้สึกแทน ในขณะที่การเทรดเสียติดต่อกัน ก็อาจจะทำให้พวกเขาขาดความมั่นใจ แล้วเริ่มที่จะเทรดตามคำแนะนำหรือข้อมูลที่ไม่ได้รับการกลั่นกลองมาก่อน ซึ่งส่งผลให้เกิดความสูญเสียได้เป็นอย่างมาก
ตัวอย่างของอาการ “กลัวตกรถ” ในโลก Cryptocurrency หรือ FOMO คริปโต
FOMO ในโลกคริปโต นั้นมักจะเกิดขึ้นเมื่อนักลงทุนทำการตัดสินใจลงทุน หรือซื้อขายสินทรัพย์คริปโตที่อยู่ในกระแส โดยไม่มีการตรวจสอบหรือศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ ส่งผลให้พวกเขาเข้าซื้อสินทรัพย์ในราคาที่สูง ไม่สามารถทำกำไรใดๆ ได้ และอาจจะต้องขายขาดทุนไปในที่สุด ตัวอย่างเช่น
- “เหรียญ SQUID” ซึ่งเป็นเหรียญที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยมีแรงบันดาลใจมาจากซีรี่ย์สุดฮิตบน Netflix อย่าง Squid Game หลังจากที่เปิดตัวและได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เหล่านักลงทุนต่างหลั่งไหลเข้าไปซื้อเหรียญดังกล่าว จนทำให้ราคาของมันพุ่งขึ้นไปสูงถึง 2,856.64 ดอลลาร์ ก่อนที่ราคาจะร่วงลงมาเหลือ 0 ดอลลาร์ภายใน 6 วัน หลังจากที่ทีมพัฒนาเหรียญ SQUID ได้ทำการ Rug-pull
- “PEPE” อีกหนึ่งใน Memecoin ที่เป็นกระแสอย่างมากในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยราคาเหรียญได้พุ่งสูงขึ้นถึงเกือบ 3,400% (ณ วันที่ 5 พฤษภาคม 2023) ในช่วง 3 สัปดาห์นับตั้งแต่เปิดตัวเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2023 อย่างไรก็ตาม เหล่านักเทรดแบบ FOMO ที่เข้าซื้อในช่วงที่เหรียญเป็นกระแสก็อาจจะนั่งน้ำตาตกได้ เมื่อราคาของ PEPE ได้ร่วงลงมาเป็นอย่างมาก และไม่มีวี่แววว่าจะกลับขึ้นไปสู่จุดเดิมได้อีกเลย
FOMO ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและชีวิตอย่างไรได้บ้าง?
จากการศึกษาข้อมูลเป็นเวลานานกว่า 80 ปี Robert J. Waldinger ผู้อำนวยการของ Harvard Medical School กล่าวว่า “การค้นพบที่น่าประหลาดใจก็คือ ความสัมพันธ์ของเรา และความสุขที่เรามีในความสัมพันธ์ของเรา มีอิทธิพลเป็นอย่างมากต่อสุขภาพของเรา”
เมื่อนักลงทุนได้ทำการลงทุนที่ผิดพลาด และสูญเสียเงินไปเป็นจำนวนมาก มันอาจจะส่งผลกระทบต่อจิตใจของพวกเขาได้ ไม่เพียงเท่านั้น มันยังสามารถส่งผลกระทบต่อแง่มุมอื่นๆ ในชีวิตของพวกเขาได้ เช่น การขาดความเชื่อมั่นในตนเอง, การมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้าง (เพื่อนฝูง, ครอบครัว, คนรอบข้าง), หรือแม้กระทั่งภาวะถดถอยทางสังคม ฯลฯ สิ่งเหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นได้หากพวกเขาไม่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
ดังนั้นแล้ว ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ มันคงจะเป็นเรื่องดีกว่า หากเราจะหลีกเลี่ยงหรือควบคุมไม่ให้เกิดอาการ FOMO กับตัวเราเองได้
จะหลีกเลี่ยงหรือควบคุม FOMO ได้อย่างไร?
การหลีกเลี่ยงหรือควบคุม FOMO เป็นกระบวนการที่จะต้องทำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคุณอาจจะต้องทำมันไปตลอดชีวิตการเทรดของคุณก็เป็นได้ ถึงแม้ว่าอาจจะไม่มีวิธีง่ายๆ ในการแก้ปัญหา แต่ต่อไปนี้คือเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ เพื่อช่วยให้คุณสามารถควบคุมหรือหลีกเลี่ยงอาการ FOMO ในขณะที่ทำการเทรดได้:
วางแผนการหรือกลยุทธ์ในการเทรด
แผนการหรือกลยุทธ์ในการเทรดจะช่วยให้คุณสามารถทำการเทรดคริปโตได้อย่างมีหลักการ, เป็นแบบแผน, และตัดเรื่องการใช้อารมณ์ออกไป แผนการที่ดีจะช่วยให้คุณเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจังหวะเข้า/ออก, เงินทุนที่จะใช้และสามารถเสียได้โดยไม่เสียดาย, การบริหารความเสี่ยง และอื่นๆ อีกมากมาย แผนการและกลยุทธ์ที่ได้รับการวิเคราะห์มาเป็นอย่างดีจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับคุณ อย่างไรก็ตาม คุณจะต้องมั่นใจว่าจะสามารถทำตามแผนการที่คุณได้วางไว้ได้ ถึงแม้ว่าจะมีสิ่งยั่วยุใดๆ ผ่านเข้ามาก็ตาม
จดบันทึกในการเทรด
การจดบันทึกประวัติการซื้อขายของคุณ จะช่วยให้คุณสามารถสังเกตถึงพฤติกรรมการซื้อขายของตัวเอง ไม่ว่าในทางที่ดีหรือไม่ดีได้ ซึ่งจะช่วยให้คุณปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในเชิงลบที่อาจจะนำไปสู่การเทรดแบบ FOMO ได้ นอกจากนี้ การจดบันทึกจะช่วยสร้างระเบียบวินัยในการเทรด พร้อมทั้งใช้เป็นบันทึกข้อมูลสำหรับอ้างอิงหรือทบทวนในอนาคตได้อีกด้วย
ศึกษาและทำความเข้าใจในสินทรัพย์/ตลาดที่คุณต้องการจะเทรด
การศึกษาข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัจจัยพื้นฐาน, โทเค็นโนมิคส์, หรือข้อมูลเล็กน้อยใดๆ ก็ตาม จะช่วยให้คุณมีข้อมูลไว้ใช้สำหรับอ้างอิง หรือวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อคาดการณ์ถึงความเคลื่อนไหวที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ เมื่อคุณเข้าใจในสินทรัพย์หรือตลาดที่คุณต้องการจะเทรดในระดับหนึ่งแล้ว ข้อมูลต่างๆ ที่คุณมีจะเปรียบเสมือนเบรกที่ช่วยห้ามไม่ให้คุณตัดสินใจเรื่องต่างๆ ตามอารมณ์ ซึ่งเป็นผลมาจาก FOMO ได้
FOMO เป็นเหมือนการเปิดโอกาสให้เหล่าสแกมเมอร์โจมตีคุณ
เหมือนตัวอย่างของเหรียญ SQUID ที่เราได้อธิบายไปก่อนหน้านี้ ในหลายๆ ครั้ง กระแสใดๆ ที่มาแรงและดูดีจนเกินไป มันก็อาจจะเป็นแค่การหลอกลวงเพื่อหาผลประโยชน์ได้ และอาการ FOMO ก็มักจะทำให้คุณขาดความยั้งคิด และพร้อมที่จะกระโจนเข้าสู่โอกาสใดๆ ที่ดูดีจนน่าเหลือเชื่ออยู่เสมอ ดังนั้น การหาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ให้รอบด้านก่อนเสมอจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อของสแกมเมอร์เหล่านั้น
สรุปส่งท้าย
การเอาชนะ FOMO อาจจะไม่สามารถทำได้ภายในชั่วข้ามคืน แต่ถึงกระนั้น การทำความเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น จะช่วยให้คุณสามารถคิดหาแนวทางในการจัดการกับมันได้ดียิ่งขึ้น สุดท้ายแล้ว การปฏิบัติตามแผนการและกลยุทธ์การเทรดอย่างเคร่งครัด จะสามารถช่วยให้คุณป้องกันความเสี่ยงหรือผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจาก FOMO ได้อย่างแน่นอน
ข้อจำกัดความรับผิด
ข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่บนเว็บไซต์ของเราเผยแพร่ด้วยเจตนาที่ดีและเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น การกระทำใด ๆ ที่ผู้อ่านดำเนินการตามข้อมูลที่พบบนเว็บไซต์ของเราถือเป็นความเสี่ยงของผู้อ่านโดยเฉพาะ Learn ให้ความสำคัญกับข้อมูลคุณภาพสูง เราอุทิศเวลาให้กับการแยกแยะ ค้นคว้า และสร้างเนื้อหาเพื่อการศึกษาซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน เพื่อเป็นการรักษามาตรฐานนี้และเพื่อสร้างเนื้อหาคุณภาพได้อย่างต่อเนื่อง พาร์ตเนอร์ของเราอาจตอบแทนเราด้วยค่าคอมมิชชั่นสำหรับการจัดวางตำแหน่งต่าง ๆ ในบทความของเรา อย่างไรก็ดี ค่าคอมมิชชั่นนี้ไม่มีผลต่อกระบวนการของเราในการสร้างเนื้อหาที่ไร้อคติ ตรงไปตรงมา และเป็นประโยชน์