หากคุณเป็นนักเทรดไม่ว่าจะ คริปโตเคอเรนซี่ หุ้น หรือ สินค้าโภคภัณฑ์ สิ่งที่ขาดไปไม่ได้คือ “การกำหนดและจำกัดความเสี่ยง” ในการลงทุน และวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ การกำหนดจุด Take Profit และ Stop Loss หรือที่จะเรียกย่อๆ ว่า TP และ SL นั่นเอง
หากคุณมีเงินสักก้อนหนึ่งเพื่อมาลงทุน คุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่าการเข้าซื้อสินทรัพย์ของคุณเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแม้ว่าคุณจะทำการบ้านเกี่ยวกับสินทรัพย์นั้นมาอย่างดีก็ตาม ในระยะแรกคุณอาจเข้าซื้อและเริ่มเห็นกำไร แต่วันถัดมาอาจเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น
จากทั้ง 2 เหตุการณ์นี้ คำถามคือ คุณจะยอมแพ้กับสินทรัพย์นี้เมื่อไหร่ หรือคุณจะปล่อยให้การขาดทุนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และหากสินทรัพย์เติบโตขึ้น จุดไหนคุณถึงจะตัดสินใจขายเพื่อทำกำไร
Take Profit และ Stop Loss คืออะไร
Stop Loss (SL) คือ คำสั่งใช้เพื่อการป้องกันเงินต้นของคุณ และกำหนดความเสี่ยงในการเทรดในแต่ละครั้ง เมื่อคุณตั้งค่าแล้วหากสินทรัพย์ปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับราคาที่ตั้งไว้ คำสั่งจะทำงานโดยอัตโนมัติ ซึ่งนักเทรดส่วนใหญ่จะตั้งให้ทำ Market Order หรือ ขาย ณ ราคาตลาดทันที
ยกตัวอย่างเช่น หากคุณซื้อ Bitcoin ที่ราคา 10,000 ดอลลาร์ และต้องการ Cut loss หากราคาเหลือเพียง 9,000 ดอลลาร์ นั่นหมายความว่า คุณจำกัดความเสี่ยงไว้ที่ 10% ของสถานะที่เข้าถือครองหากคุณเข้าซื้อด้วยเงินต้น 100% กรณีที่คุณเปิดสถานะ Short ในตลาด Future หากคุณตั้งจุด Stop Loss ไว้ที่ 11,000 ดอลลาร์ ให้ทำการปิดสถานะขาดทุน 10%
คำสั่ง Take Profit (TP) คือ คำสั่งการวาง Limit Order หรือตั้งขายทิ้งเอาไว้ ณ ราคาที่คุณต้องการเก็บกำไร เมื่อสินทรัพย์เคลื่อนไหวในทิศทางที่คุณคาดเดาไว้ หรือในบางกรณีอาจเป็น Market Order ก็ได้เช่นกัน
ยกตัวอย่างเช่น หากคุณซื้อ Bitcoin ที่ราคา 10,000 ดอลลาร์ และต้องการขายเก็บกำไรที่ 11,000 ดอลลาร์ คุณแค่เพียงตั้งขายไว้ และเมื่อราคาไปถึงระบบจะขายทำกำไรให้คุณอัตโนมัติ
ทำไมต้องตั้ง TP และ SL
คำถามเหล่านี้ คือสิ่งที่นักลงทุนจะต้องตอบให้ได้ก่อนเข้าเทรดสินทรัพย์ และหากคุณซื้อขายในกรอบเวลาที่สั้น เช่น การเทรดรายวัน การกำหนด TP และ SL คือ ตัวช่วยที่ดีที่สุดในการตัดสินใจ เพราะมันคือการกำหนดราคาเป้าหมายล่วงหน้า เพื่อพิจารณาและจำกัดความเสี่ยงต่อการลงทุนในแต่ละครั้ง
โดยเฉพาะกับการลงทุนใน Cryptocurrency แพลตฟอร์มส่วนมากทั้งกระดานรวมศูนย์และ DeFi ล้วนให้คุณตั้งกลไกให้ทำงานแบบอัตโนมัติได้แม้ว่าคุณจะนอนหลับอยู่ก็ตาม สิ่งนี้จะช่วยลดความเสี่ยงของคุณได้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในตลาดที่ผันผวนและความเสี่ยงสูงอย่าง Future ที่อนุญาตให้เปิดสถานะ Short และ Long
Trailing Stop คืออะไร
ในกรณีที่นักเทรดต้องการปกป้องผลกำไรของตน การพลิกแพลง Stop Loss ก็สามารถใช้เป็นเครื่องมือได้ ซึ่งเรียกกันว่า Trailing stop ที่จะให้ความยืดหยุดมากกว่า ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามเปอร์เซ็นต์หรือยอดเงินที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
ยกตัวอย่างเช่น หากคุณเปิดเข้าซื้อ Bitcoin ที่ 10,000 ดอลลาร์ และปัจจุบันคุณกำไร 100% เพราะราคาเติบโตไปเป็น 20,000 ดอลลาร์ แต่คุณต้องการปกป้องกำไรของคุณส่วนหนึ่ง
คุณสามารถตั้ง Trailing Stop ให้ทำงานที่ราคา 20,000 ดอลลาร์ ว่า หากราคาลดลงกว่าราคาสูงสุด 10% ให้ทำการขาย นั่นหมายความว่าหากราคาแตะ 20,000 ดอลลาร์แล้วลดลงต่ำกว่า 18,000 ดอลลาร์ สถานะจะปิดทันที่ พร้อมปกป้องกำไรไว้ 80%
Risk to Reward Ratio (R/R) คืออะไร
หากคุณนำทั้งการ SL และ TP มาใช้ คุณจะสังเกตได้ว่า ก่อนการลงทุนในทุกๆ ครั้ง คุณจะสามารถกำหนดความเสี่ยงและเป้าหมายในการทำกำไรได้ล่วงหน้า ว่า “อัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยง” คุ้มค่าหรือไม่ หรือโดยทั่วไปจะเรียกว่า Risk to Reward Ratio (R/R)
หัวใจสำคัญในการสร้าง setup เพื่อเทรดคือ การสร้าง R/R คือการกำหนดจุดทั้ง 2 อย่างสมเหตุสมผล โดยทั่วไปแล้ว R/R ที่เหมาะสม R/R ควรมากกว่า 2:1 เป็นอย่างน้อย หรือกก็คือ ผลตอบแทนควรสูงกว่าความเสี่ยง 1 เท่า
การกำหนดจุดสามารถทำได้หลากหลายวิธี โดยทั่วไปแล้วนักลงทุนจะอ้างอิงจากการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) เช่น การใช้ Dow Theory โดยตั้ง Stop Loss ใต้จุดต่ำสุด หรือใต้แนวรับ และตั้ง Take Profit ที่แนวต้าน ดังนั้นเทคนิคที่ดีเพื่อให้ได้ R/R ที่สูง คือ การเข้าซื้อใกล้แนวรับที่แข็งแกร่งนั่นเอง
ข้อดี และ ข้อเสีย ของการตั้ง TP และ SL
ประโยชน์ของคำสั่ง Stop Loss
- คำสั่ง Stop-Loss จะช่วยให้การขายสินทรัพย์หรือหุ้นเป็นอัตโนมัติ จึงลดกิจกรรมที่คนต้องทำในพอร์ตของคุณให้เหลือน้อยที่สุด โดยคำสั่งจะทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อราคาสินทรัพย์ถึงราคาที่กำหนดไว้
- คำสั่งจะปกป้องเทรดเดอร์ไม่ให้ขาดทุนจำนวนมากในตลาด ถึงแม้ราคาจะปรับตัวลดลงต่ำกว่าราคาที่ตั้งไว้ แต่เทรดเดอร์ก็จะขาดทุนน้อยที่สุดเท่านั้น
- Stop-Loss ช่วยส่งเสริมการมีวินัยในตนเองเมื่อเทรด โดยจะสนับสนุนให้ดำเนินการตามวิธีและกลยุทธ์ทางการเงิน ดังนั้นจึงช่วยขจัดความรู้สึกตื่นเต้นมากเกินไปของผู้คน
- คำสั่งจะช่วยสร้างสมดุลระหว่างความเสี่ยงกับผลตอบแทนในการเทรดหนึ่งครั้งในตลาดหุ้น
ข้อเสียของคำสั่ง Stop Loss
- หากคุณกำลังใช้บริการโบรกเกอร์ โบรกเกอร์บางแห่งจะเรียกเก็บค่าใช้บริการ ดังนั้น คุณจึงอาจต้องชำระค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
- เทรดเดอร์ต้องตัดสินใจว่าจะตั้ง Stop-Loss ที่ราคาใดซึ่งท้าทายและจัดการยาก หากต้องการหลีกเลี่ยงปัญหานี้ คุณสามารถขอรับความช่วยเหลือได้จากผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินแต่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
- ความผันผวนทางราคาระยะสั้นรูปแบบใดก็ตามอาจทำให้คำสั่ง Stop-Loss ทำงาน จึงทำลายวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจไว้
- บางครั้ง เทรดเดอร์จะถูกบังคับให้ขายสินทรัพย์ของตนเองเร็วเกินไปหรือในทันที ซึ่งจะจำกัดการทำกำไรเพิ่มเติมหรือตัดแนวโน้มที่อาจทำกำไรได้โดยที่เทรดเดอร์อาจรอจนถึงระดับที่มีความเสี่ยงสูง
ประโยชน์ของคำสั่ง Take Profit
- เทรดเดอร์สามารถรู้ผลตอบแทนหรือความเสี่ยงของการเทรดก่อนเปิดสถานะ เมื่อมีข้อมูลดังกล่าว เทรดเดอร์จะสามารถตัดสินใจได้โดยมีข้อมูลประกอบว่าจะดำเนินการเทรดหรือไม่
- คำสั่งดังกล่าวจะช่วยขจัดการใช้อารมณ์ของมนุษย์เนื่องจากเทรดเดอร์สามารถเห็นหรืออ้างอิงการตัดสินใจตามกราฟหรือข้อมูลที่ชัดเจน
- คำสั่งจะช่วยให้เทรดเดอร์เตรียมใจก่อนผลในภายหลัง ไม่ว่าเทรดเดอร์จะขาดทุนหรือไม่ พวกเขาก็จะไม่ตกใจ
ข้อเสียของคำสั่ง Take Profit
- เทรดเดอร์บางคนไม่สามารถใช้ Take-Profit ได้เนื่องจากต้องอาศัยความรู้บางอย่าง ดังนั้น เทรดเดอร์จะต้องลงทุนกับแหล่งข้อมูลการเรียนรู้และสร้างเครือข่ายกับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์
- เมื่อถึงราคาที่ตั้ง Take-Profit เทรดเดอร์จะไม่สามารถได้กำไรมากกว่านั้น หากการเทรดตั้ง Take-Profit ไว้ที่ $10.25 พวกเขาจะเสียกำไรที่มากกว่าเป้าที่ตั้งไว้ กล่าวคือส่วนที่มากกว่า $10.25 จะหายไป อย่างไรก็ตาม เทรดเดอร์สามารถดำเนินการเทรดใหม่ในกรณีที่ความเคลื่อนไหวของราคายังคงเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ
- ข้อสุดท้าย ยังมีโอกาสที่จะไม่บรรลุเป้าหมายที่ต้องการหากราคาไม่ถึงระดับของคำสั่ง Take-Profit ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อราคาปรับตัวไปทางเป้าที่ตั้งไว้แล้วกลับตัวไปยังระดับคำสั่ง Stop-Loss เท่านั้น สรุปแล้ว เป้าของกำไรที่ตั้งไว้สูงจะไม่ประสบความสำเร็จในการเทรดในหลายๆ ครั้ง แต่หากตั้งคำสั่งไว้ใกล้เกินไป ก็อาจจะไม่คุ้มกับความเสี่ยงที่กำลังแบกรับ
สรุปเรื่องราว TP และ SL
การตั้ง Stop Loss และ Take Profit เป็นเพียงเครื่องมือในการลงทุนเท่านั้น ดังที่กล่าวมา หัวใจสำคัญคือ ความชำนาญในการค้นหาและกำหนดราคาที่เหมาะสม และมีระเบียบวินัยในการทำตามแผนที่วางไว้
แน่นอนว่ากลไกเหล่านี้ย่อมมีข้อดีและข้อเสีย แต่หากนักลงทุนเข้าใจข้อจำกัดและความสามารถของมันแล้ว คุณก็อาจวางแผนได้อย่างแม่นยำมากขึ้นพร้อมป้องกันการสูญเสียเงินต้นทั้งหมดของคุณ หากคุณประสบความสำเร็จ คุณจะมีสถิติในการทำกำไรที่ดีกว่าเดิมพร้อมกับความเสี่ยงที่จำกัดได้ด้วยตัวคุณเอง
ข้อจำกัดความรับผิด
ข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่บนเว็บไซต์ของเราเผยแพร่ด้วยเจตนาที่ดีและเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น การกระทำใด ๆ ที่ผู้อ่านดำเนินการตามข้อมูลที่พบบนเว็บไซต์ของเราถือเป็นความเสี่ยงของผู้อ่านโดยเฉพาะ Learn ให้ความสำคัญกับข้อมูลคุณภาพสูง เราอุทิศเวลาให้กับการแยกแยะ ค้นคว้า และสร้างเนื้อหาเพื่อการศึกษาซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน เพื่อเป็นการรักษามาตรฐานนี้และเพื่อสร้างเนื้อหาคุณภาพได้อย่างต่อเนื่อง พาร์ตเนอร์ของเราอาจตอบแทนเราด้วยค่าคอมมิชชั่นสำหรับการจัดวางตำแหน่งต่าง ๆ ในบทความของเรา อย่างไรก็ดี ค่าคอมมิชชั่นนี้ไม่มีผลต่อกระบวนการของเราในการสร้างเนื้อหาที่ไร้อคติ ตรงไปตรงมา และเป็นประโยชน์