ธนาคารด้านคริปโตประกาศปิดกิจการในเดือนมีนาคม 2023 ที่ผ่านมา แล้วจะเกิดอะไรขึ้น หลัง Silvergate ล่ม มีการคาดการณ์ว่า Stablecoins อาจจะเติบโตขึ้น จริงหรือไม่?
การล่มสลายของ Silvergate และระบบชำระเงิน SEN อาจทำให้ Stablecoins ต่างๆ เติบโตเพราะนักลงทุนสถาบันจะเคลื่อนย้ายเงินทุนไปยังเหล่าบริษัทผู้ออกเหรียญเหล่านี้แทน
ผลงานการศึกษาของแพลตฟอร์ม Kaiko เผยว่า การปิดตัวของระบบชำระเงินของธนาคาร Silvergate จะทำให้เหรียญสเตเบิ้ลคอยน์เป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนและนักเทรด
ทางธนาคารประกาศปิดระบบ SEN เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ทำให้กระดานแลกเปลี่ยนคริปโตและนักลงทุนต่างโยกเงินของพวกเขาออกจากธนาคาร และทำให้ธนาคารประสบปัญหาสภาพคล่องอย่างหนัก
นักลงทุนอาจหันไปพึ่งบริษัทผู้ออก Stablecoins
หลังจากการ Silvergate ประกาศปิดกิจารไม่นาน ทั้ง Coinbase และ Kraken ต่างถอนเงินออกจากธนาคาร Silvergate และทำให้ธนาคารคริปโตต้องประสบกับปัญหาที่หนักหน่วงซึ่งกระทบไม่เพียงแต่อุตสาหกรรมคริปโต แต่รวมถึงระบบการเงินแบบดั้งเดิมที่เกี่ยวข้องกับธนาคารแห่งนี้ด้วย ทว่า ปัญหาครั้งนี้อาจผลักดันให้เหรียญสเตเบิ้ลคอยน์เติบโตขึ้นกว่าเดิม
งานวิจัยของ Kaiko กล่าวพวก พวกเขาจะฝากเงินไว้กับบริษัทผู้ออกสเตเบิ้ลคอยน์แทนการฝากเงิน USD ไว้กับธนาคารอย่าง Silvergate เพื่อมิ้นท์โทเค็นและโอนไปยังกระดานแลกเปลี่ยนของตนเอง
อย่างไรก็ตาม เหล่าผู้ออกสเตเบิ้ลคอยน์ยังคงมีความเสี่ยงอยู่ โดยเฉพาะความเสี่ยงด้านกฎหมายจากผู้กำกับดูแลที่พยายามเข้าตรวจสอบและโจมตี โดยมี Paxos ผู้ออก BUSD ถูกสั่งยุติการมิ้นท์เหรียญไปแล้ว
การเติบโตหลังการล่มสลายของ FTX และ หลัง Silvergate ล่ม
การเติบโตของ Stablecoins ทำให้จำนวนคู่การซื้อขาย fiat/crypto ใหม่ที่จดทะเบียนโดยกระดานแลกเปลี่ยนลดลงทั่วโลก ซึ่งในปีที่แล้ว จำนวนคู่ USD ใหม่ในกระดานแลกเปลี่ยนลดลงจาก 400 เป็น 326 ตามรายงานของ Kaiko
รายงานพบว่าตั้งแต่การล่มสลายของ FTX ส่วนแบ่งการตลาดของ USD ได้ลดลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับ USDT และ USDC ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น
“สำหรับตอนนี้ ดอลลาร์และสเตเบิ้ลคอยน์ ที่ตรึงกับดอลลาร์ยังคงเป็นรากฐานของเศรษฐกิจคริปโต แต่ความยุ่งยากที่เพิ่มขึ้นกับระบบการชำระเงิน USD ที่เกิดขึ้นกับ Silvergate อาจทำให้แนวโน้มนี้สูงขึ้นอีก” รายงานกล่าว
นอกจากนี้ วอลลูมการซื้อขายสเตเบิ้ลคอยน์ได้ทำจุดสูงสุดใหม่ในปี 2022 ที่ 7.4 ล้านล้านดอลลาร์ เติบโตจาก 6 ล้านล้านดอลลาร์ในปีก่อนหน้า ทำให้วอลลูมสูงแซงหน้าบริษัทบัตรเครดิตอย่าง Mastercard, American Express, Discover และตามหลังอยู่เพียงแค่ Visa เพียงเจ้าเดียว
ข้อจำกัดความรับผิด
หมายเหตุบรรณาธิการ: เนื้อหาต่อไปนี้ไม่ได้สะท้อนถึงมุมมองหรือความคิเห็นของ BeInCrypto มันจัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้นและไม่ควรถูกตีความว่าเป็นคำแนะนำทางการเงิน กรุณาทำการวิจัยของคุณเองก่อนที่จะทำการตัดสินใจลงทุนใดๆ