การยื่นล้มละลายของ Evergrande บริษัทอสังหาริมทรัพย์ใหญ่อันดับ 2 ของจีนในสหรัฐฯ คือบทสรุปของโมเดลการเติบโตแบบทุ่มสุดตัวที่ที่ผลักดันจีนมาตลอดในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา
เป็นเวลาหลายทศวรรษที่พวกเขาเคยเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของจีน และกู้หนี้สินในเป็นจำนวนมากในขณะที่เศรษฐกิจของจีนกำลังขยายตัว ในช่วงนั้นชาวจีนมีความต้องการในด้านอสังหาริมทรัพย์สูงมาก ทำให้บริษัทรับเหมามักจะขายห้องชุดล่วงหน้าให้กับผู้ซื้อก่อนที่การก่อสร้างจะเสร็จสมบูรณ์
แต่การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันในนโยบายของผู้นำจีนเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ทำให้นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของประเทศต้องดิ้นรนหาเงินมาเพื่อใช้หนี้พร้อมกับดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเรื่อยๆ สิ่งนี้ทำให้ระบบการเงินภายในประเทศและบริษัทยักษ์ตกอยู่ในความเสี่ยงที่สูง
เกิดอะไรขึ้นกับ Evergrande
วิกฤตเริ่มก่อตัวขึ้นในปี 2021 เมื่อรัฐบาลกลางเคลื่อนไหวเพื่อควบคุมการกู้ยืมที่มากเกินไปเพื่อพยายามชะลอการเพิ่มขึ้นของราคาบ้าน ซึ่งเป็นการตัดแหล่งเงินทุนหลักสำหรับนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างรุนแรง
การเปลี่ยนแปลงทางด้านนโยบายทำให้ทางบริษัทมีหนี้สินถึง 300,000 ล้านดอลลาร์ และทำให้พวกเขาไม่สามารถหาเงินสดมาได้เร็วพอที่จะชำระหนี้ได้ทัน
การผิดนัดชำระหนี้ในเดือนธันวาคม 2564 ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกในตลาดเป็นอย่างมาก คลื่นของการผิดนัดชำระหนี้ตามมาเป็นระลอกๆ ทำให้ปัจจุบันตลาดอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ของจีนยังไม่ฟื้นตัวแม้จะผ่านมาถึง 2 ปีแล้วก็ตาม อาคารหลายสิบโครงการถูกระงับ ทำให้ลูกค้าที่จองซื้อ “Pre-sale” ที่อยู่อาศัยจำนวนมากไม่มีบ้านใหม่และมีภาระหนี้ก้อนโต
สุดท้ายทางบริษัทจึงตัดสินใจยื่นฟ้องล้มละลาย (Chapter 15) ในตลาดสหรัฐอเมริกาที่ทางบริษัทมาจัดทะเบียน เพื่อเข้าสู่กระบวนการการปรับโครงสร้างหนี้ โดยล่าสุดหนี้ภายนอกประเทศจีนของพวกเขาอยู่ที่ 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์
วิกฤตอาจเพิ่งเริ่มขึ้นเพียงเท่านั้น
วิกฤตของทางบริษัทอาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเพียงเท่านั้น เพราะยังมีผู้สร้างรายใหญ่รายอื่นๆ ในประเทศจีนได้ผิดนัดชำระหนี้เช่นเดียวกัน และทั้งหมดทั้งพวงมีสาเหตุที่คล้ายคลึงกันกับพวกเขา
อีกหนึ่งบริษัทที่นักลงทุนทั่วโลกกำลังเฝ้าดูคือ Country Garden ซึ่งมีพนักงานกว่า 300,000 คน ได้ผิดการชำระหนี้มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ถึง 2 ครั้ง นอกจากนี้ทางบริษัทยังกล่าวอีกว่าพวกเขากำลังพิจารณา “มาตรการจัดการหนี้ต่างๆ”
การล่มสลายของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์เหล่านี้ ทำให้นักวิเคราะห์หลายๆ คนนึกถึงช่วงวิกฤต Subprime ในปี 2008 และทำให้นักลงทุนทั่วโลกต่างวิตกกังวล แม้แต่ Michael Burry จาก The Big Short ผู้ทำกำไรจากวิกฤต Subprime ก็ได้ทำการ Short ตลาดหุ้นสหรัฐเป็นที่เรียบร้อย การลงทุนในช่วงเวลานี้จึงต้องอาศัยความระมัดระวังเป็นอย่างมาก
ข้อจำกัดความรับผิด
หมายเหตุบรรณาธิการ: เนื้อหาต่อไปนี้ไม่ได้สะท้อนถึงมุมมองหรือความคิเห็นของ BeInCrypto มันจัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้นและไม่ควรถูกตีความว่าเป็นคำแนะนำทางการเงิน กรุณาทำการวิจัยของคุณเองก่อนที่จะทำการตัดสินใจลงทุนใดๆ