โดยหลักๆแล้วทฤษฎีเศรษฐศาสตร์นั้นมีอยู่ 2 แบบ แบบแรกคือ พวกที่เชื่อใน Radical Free Market หรือแนวเศรษฐศาสตร์แบบ Austrian Economic คนพวกนี้เชื่อว่ารัฐไม่ควรจะทำอะไรเลย เพราะการที่ยิ่งรัฐจัดการเศรษฐกิจมากเท่าไหร่ ปัญหามันจะยิ่งพอกพูนเพิ่มขึ้นเท่านั้น ไม่ใช่การแก้ปัญหาระยะยาว ระยะยาวแล้วตลาดสามารถแก้ไขปัญหาได้ดีกว่า โดยผู้ที่สนับสนุนแนวคิดนี้ได้แก่ Ludwig von Mises, Henry Hazlitt, F.A. Hayek, and Murray N แต่อีกพวกหนี่งกระแสหลักในปัจจุบันคือ พวกที่เชื่อในการควบคุมของรัฐ รัฐจะต้องเข้ามาควบคุมให้ได้เยอะเพื่อที่เศรษฐกิจจะได้ดำเนินต่อไปได้ในเวลาที่เกิดวิกฤติ เช่น สร้างโรงเรียน, โรงพยาบาล สถานที่ราชการซึ่งเรียกสำนักนี้ว่า Keynesian ซึ่งทั้ง 2 สถาบันนี้ดูจะมองคนละแบบอย่างสิ้นเชิง แต่จะมีเพียงระบบเดียวที่ถูก นั้นคือ Austrian และบิตคอยน์ก็คือระบบที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้มันเกิดขึ้นได้จริง
ก่อนที่จะมีบิตคอยน์ขึ้น Austrian Economy คือสำนักที่เชื่อในการมีระบบตลาดแบบ Radical Free Market (ระบบตลาดแบบสุดโต่ง รัฐแทบจะไม่ต้องทำอะไร) ซึ่งเป็นข้อมูลในการวิจัยหน้าตาของระบบที่ไม่พึ่งพิงรัฐแบบก่อนหน้า Ludwig von Mises ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ ได้เขียนเรื่องนี้ไว้และเป็นที่แพร่หลายอย่างมากแต่ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เนื่องจากรัฐจะไม่ยอมปล่อยอำนาจทางการเงินให้ไปสู่คนธรรมดา แต่ในวันนี้สำนัก Austrian จะถูกผลักดันให้เป็นจริงได้ด้วย Bitcoin ซึ่งท่านได้ให้ความเห็นว่ามันจะเกิดขึ้นได้ เพราะ 2 อย่าง
1. คนสนใจบิคลตคอยน์เยอะขึ้นอย่างมากเนื่องจากราคาของมันพุ่งสูงขึ้นอย่างมากและเอาชนะตลาดการเงินในอดีตได้ นั้นส่งผลให้สถาบันทางการเงินให้ความสนใจและคนอเมริกาส่วนใหญ่ได้ยินคำว่า Bitcoin ในปี 2017
2. ผู้เชี่ยวชาญ นักธุรกิจ ต่างล้วนมาศึกษาเกี่ยวกับเรื่องใหม่นี้ซึ่งปลายทางอย่างไรก็ดี จะสนับสนุนโลกให้ไปในทางของเสรีภาพมากขึ้น
ทำไมรัฐจึงไม่น่าสนับสนุนหนะหรือ? ลองคิดภาพดูว่ามีระบบการศึกษา ระบบพยาบาล อาหาร และการเดินทางที่อาจจะไม่ได้ประสิทธิภาพแต่รัฐก็ยังต้องหาเงินมาจ่ายให้อยู่สิ คำถามคือถ้ารัฐไม่มีเงินพอที่จะมาจ่ายเงินเดือน รัฐจะทำอย่างไร? คำตอบง่ายๆคือพิมพ์เงิน หรือกู้เงิน(ที่มาจากพิมพ์ในท้ายสุดอยู่ดี) เพื่อมาจ่ายสิ่งที่ไม่ได้เกิด Productivity และนั้นทำให้รัฐจำเป็นต้องเก็บภาษีจากชนชั้นกลางมากขึ้นเพื่อมาอุ้มราชการที่ไม่สามารถปลดออกหรือย้ายได้ แต่ในประเทศอย่าง US อาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องขึ้นภาษีแต่ใช้วิธีพิมพ์เงินได้เลยและเอาเงินนั้นมาปล่อยกู้ผ่านสถาบันการเงิน ธนาคาร ทำให้ผู้ที่อยู่ทั้งข้างบนที่ได้เงินก่อนคือผู้ที่เป็นเจ้าของกิจการโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทใหญ่ และบริษัทใหญ่ก็จะชนะตลาดไปเรื่อยๆ โดยรัฐก็ไม่สามารถทำให้เจ้าเล็กเจ๊งได้ เลยปล่อยกู้ให้ต่อ ทำให้ท้ายสุดแล้วคนที่จนลงคือคนที่ไม่ได้รับเงินก้อนเหล่านี้เช่น พนักงาน ประเทศอื่น ที่ไม่ได้มี Financial Asset ไว้ในครอบครอง (พวกเขาจะตกรถและมีต้นทุนค่าที่ดินที่สูงขึ้น เนื่องจากคนที่รวยจากการได้เงินสนับสนุนจะเอาเงินมาซื้อที่ดินหรือหุ้นเพื่อเก็งกำไรก่อนคนอื่นที่ได้เงินช้ากว่า และผลสุดท้ายเป็นคนตาดำๆที่ต้องมารับฟองสบู่แตก พร้อมต้นทุนของที่แพงขึ้นคนทนไม่ไหว)
สมมุติถ้าเกาะแห่งนึงมีอยู่ 10 คนได้คนละ 10 ทั้งเกาะก็จะมีเงินเพียง 100 แต่ทำไมทุกวันนี้เงินมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ? เงินล้านในสมัยก่อนมีค่า 10 ล้านในตอนนี้? ในขณะที่บางอย่างราคาไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม? เพราะว่ารัฐบาลสามารถพิมพ์เงินได้เอง เรียกว่า ‘เงินเฟ้อ’ ธนาการกลางมีอำนาจในการพิมพ์เงินขึ้นอยู่กับการคาดการณ์ GPD ในขณะนั้นและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจหรือผ่อนคลาย สิ่งสำคัญยิ่งของปัญหานี้ถูกละเลยไม่มีใครมองว่ามันผิดปกติ แม้ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญก็ตาม เนื่องจากแบงค์และรัฐจะได้ประโยชน์จากเงินที่พิมพ์มากขึ้นได้และเมื่อใครไม่ไหวก็แค่พิมพ์เงินหรือกู้มาค้ำ และส่งผลให้คนที่ต้องโดนรีดภาษีมากขึ้นคือประชาชน หรือถ้าเงินเฟ้อขึ้น Asset ก็จะแพงขึ้นซึ่งส่งผลให้ สินค้าก็จะแพงขึ้นแต่ค่าแรงเท่าเดิมซึ่งนั้นก็คือการปล้นทางอ้อมอยู่ดี นี้เป็นเหตุผลให้เราต้องทำความเข้าใจ ‘Austrian’ เพื่อเข้าใจ Bitcoin
สัญญาณว่า Austrian กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นคือ Satoshi Nakamoto ได้สร้างบิตคอยน์มาจากพื้นฐานของ Austrian ที่แท้จริง และ Vitalik Buterin ได้กล่าวว่า ‘Austrian เป็นเหมือนโลกใหม่’ คนกำลังต่างให้ความสนใจถึงโลกยุคหลังเงิน Fiat และเริ่มลงทุนกับมัน Austrian จึงเป็นพื้นฐานที่สำคัญสำหรับคนที่ต้องการจะเข้าใจ Bitcoin
ข้อจำกัดความรับผิด
หมายเหตุบรรณาธิการ: เนื้อหาต่อไปนี้ไม่ได้สะท้อนถึงมุมมองหรือความคิเห็นของ BeInCrypto มันจัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้นและไม่ควรถูกตีความว่าเป็นคำแนะนำทางการเงิน กรุณาทำการวิจัยของคุณเองก่อนที่จะทำการตัดสินใจลงทุนใดๆ