Trusted

Bitcoin ทำกำไรไปได้เท่าไหร่?

1 min
อัพเดทโดย Passanai Jiraruekmongkol

Bitcoin ทำกำไรไปได้เท่าไหร่? เป็นคำถามที่ถูกโยงมาจากโพสก่อนหน้านี้

แม้ว่าในช่วงทศวรรศนี้ Bitcoin จะถูก Halving ลงไปทุกๆปี แต่ Bitcoin ก็ยังขาดทุนจากค่า Transaction fee ไปอยู่ -98% แม้ว่าระบบ Bitcoin จะถูกออกแบบให้ผู้ขุด Bitcoin ได้ค่า Transaction fee ไปหลังจากที่ขุดครบ 95% ของทั้งหมดแล้วก็ตาม ปัจจุบันเครือข่ายก็ยังไม่สามารถที่จะคุ้มทุนได้ และคุ้มค่าที่จะรอว่ามันเองนั้นสามารถที่จะคุ้มทุนเมื่อแลกกับความปลอดภัยได้หรือไม่

จากข้อมูลข้างต้น เราพอจะเห็นภาพได้แล้วว่า ‘มันยากที่จะสร้างกำไรในธุรกิจ Blockchain’ (พูดง่ายๆคือการเป็น Validator Node อาจไม่ได้สร้างรายได้คืนทุนได้ไวขนาดนั้น)

แม้แต่ Ethereum ที่เป็น Chain ที่มีมูลค่าสูงสุดก็ยังไม่สามารถสร้างกำไรได้ในตอนนี้ ในขณะที่ Bitcoin นั้นแย่ยิ่งกว่า เมื่อเทียบกับ Layer 1 อื่นๆ

https://cdn.substack.com/image/fetch/f_auto,q_auto:good,fl_progressive:steep/https%3A%2F%2Fbucketeer-e05bbc84-baa3-437e-9518-adb32be77984.s3.amazonaws.com%2Fpublic%2Fimages%2F81a19789-ed89-4b69-b07e-eee01b497af4_1200x742.png

ทั้งๆที่สร้างกำไรไม่ได้ ทำไมยังโอเคอยู่หละ?

Blockchain ในตอนนี้นั้นมันยังอยู่แค่ในช่วงเริ่มต้นของเทคโนโลยีเท่านั้น แอพพริเคชั่นที่คนส่วนใหญ่ใช้แล้วฮิตนั้นยังไม่มี มันยังมีพื้นที่เหลืออีกมาให้คนเข้ามาพัฒนากัน ซึ่งตอนนี้มันก็พยายามเอาเงินมาเร่งพัฒนากันอยู่

เหตุการณ์ในตอนนี้มันคงจะคล้ายๆกับตลาดอินเทอร์เน็ตยุค 90 ที่มี Amazon ถูกสร้างขึ้นมาในปี 1994 แต่ยังไม่สร้างกำไรจนกว่าจะถึงปี 2001 ซึ่งแจ้งกำไรประมาณ $5 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับรายได้ $1 พันล้านดอลล่าร์

ใช้เวลาไปกว่า 7 ปีเพื่อสร้างบริษัทหลักล้านล้าน แม้ว่าตอนนี้มันยังแค่ ‘เกือบจะกำไร’ ก็ตามที

ย้อนกลับมา Bitcoin ในตอนนี้ Bitcoin มีอายุทั้งสิ้น 12 ปี Ethereum มีอายุ 7 ปี ซึ่งอายุแค่นี้เทียบกับที่การทำได้ผ่านมา เหมือนผ่านมาแล้วกว่า 2,000 ปีเลยทีเดียว

คำถามต่อมาคือ Blockchain นั้นจะสร้างรายได้ได้ทัดเทียมกับ Amazon หรือไม่?

หนทางสู่การทำกำไร Bitcoin ทำกำไรไปได้เท่าไหร่?
แล้วอะไรคือหนทางที่ทำให้ Blockchain มีกำไรหละ?

มี 2 เหตุผลครับ

  1. เพิ่ม Transaction ให้มากขึ้น
  2. ลดรายจ่ายกับการสร้างความปลอดภัยลง

1 การเพิ่ม Transaction ให้มากขึ้น
หนทางแรกในการสร้างรายได้คือการเพิ่มความสามารถของ Block การเพิ่มความสามารถคือการที่เราจะนำ Block นั้นๆไปใช้งานได้อย่างไรบ้าง? ซึ่งมันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการสร้าง Dapps ขึ้นบน Network ยิ่ง Network นั้นมีการใช้งานมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งมี Block เพิ่มขึ้นเท่านั้น

ตัวอย่างเช่น Ethereum ทุกๆคนบนโลกสามารถ swap $1 ล้านดอลล่าร์เพื่อได้รับ 1 ล้าน DAI ได้บน Uniswap ซึ่ง DAI อาจจะมีค่ามากสำหรับคนบางคน เขาอาจจะยอมเสีย $11 เพื่อแลกเหรียญดอลล่าร์เป็น DAI หรือสำหรับบางคนอาจจะยินยอมที่จะจ่ายมากถึง $1,000 ต่อ 1 Transaction ก็เป็นได้. บางที ในขณะที่ตลาดมีความผันผวนสูง เขาอาาจะจ่าย $10,000 ดอลล่าร์ ‘ทันที’ ซึ่งถ้าในแต่ละสถานการณ์มีเหตุการณ์เช่นนี้ อาจจะเป็นไปได้ที่เราจะได้กำไรมากขึ้นต่อ Block

Block จะมีค่าก็ต่อเมื่อมีมันมี Application มากขึ้น (เช่น Defi, NFT) ซึ่งสร้างระบบเศรษฐกิจข้างใน Block เหล่านั้น รายได้ที่มาจากความจุของ Block นั้นส่งผลโดยตรงกับ Application ที่มีบน Chain นั้นๆ

มันยิ่งจะชัดเจนมากขึ้นเมื่อเรามองเข้าไปใน Bitcoin เพราะ Bitcoin นั้นมีประโยชน์อย่างเดียวคือการ รับ-จ่าย ด้วย Bitcoin ซึ่งด้วยคุณประโยชน์อย่างเดียวนั้น ในปัจจุบันยังขาดทุนอยู่ที่ -98%

เราสามารถเห็นแพลตฟอร์ม Smartcontact ซึ่งมี Dapps สร้างอยู่มากมาย ซึ่งได้มีค่าธรรมเนียมที่สูงกว่า Bitcoin ไปแล้วเช่น Etheruem เนื่องจากคนยินดีที่จะแลกเปลี่ยนเหรียญกันบน Etheruem แทนที่จะใช้ Bitcoin

เป้าหมายคือเราต้องการรู้รายได้ของการใช้ Blockspace, ยิ่ง Blockspace นั้นมีการใช้งานมากเท่าไหร่ มี Token มากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งมี Ecosystem ที่เติบโตมากขึ้นเท่านั้น และทั้งหมดนี้จะต้องควบคู่กับความสามารถในการรองรับการเติบโตและความปลอดภัยของ Blockchain นั้นๆด้วย

2 การลดค่าใช้จ่ายเพื่อสร้างความปลอดภัย
การเพิ่มประโยชน์ของ Blockchain นั้นบางทีมันต้องเป็นไปแบบธรรมชาติ มีคนใช้ มีคนสร้าง ถ้าเราจะสร้างมันมาเพื่อเก็งกำไร มันมักจะอยู่ได้ไม่นาน

อย่างเช่น เพื่อที่จะทำให้ Blockchain นั้นยั่งยืนได้ มันจำเป็นต้องลดการจ่ายเหรียญลงในอนาคต เพื่อลดค่าใช้จ่ายของ Chain

ข้อเสียอย่างมากอันนึงคือ เมื่อคุณลดจำนวนเหรียญที่ผลิตได้ นั้นส่งผลให้คนที่จะมาเป็น Node นั้นย่อมน้อยลงเป็นธรรมดา, และเมื่อคนที่มาเป็นผู้ตรวจสอบ Block น้อยลงก็จะทำให้ความเสี่ยงที่ระบบจะโดนโจมตีง่ายก็มีมากขึ้น

เป็นเหมือนได้อย่างเสียอย่างระหว่าง ‘ความจุของ block’ และ ‘จำนวนการผลิตเหรียญ’ เมื่อมันแพงมากขึ้น ก็จะมี Chain ใหม่ถูกสร้างขึ้นมาแข่งด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยลง Blocksize ที่ใหญ่ขึ้น ซึ่ง Chain ที่สร้างมาใหม่แม้จะมีรายจ่ายที่น้อย แต่ก็แลกมากับรายได้ที่น้อยด้วยเช่นกัน ยิ่ง Chain นั้นๆมีความน่าใช้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีคนมาก็อปแล้วทำเป็น Private Blockchain มากเท่านั้น

เมื่อ Blockchain มีคนมาใช้มากขึ้น ยิ่งอยากให้มันปลอดภัยมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งต้องจ่ายมากขึ้นเท่านั้น!

มาดูอัตราความเฟ้อของเหรียญกันบ้างดีกว่า

  • Ethereum: 4.20%
  • Solana: 9.15%
  • Avalanche: 26.6%

โดยที่ ETH 2.0 นั้นจะทำให้ ETH เฟ้อลดลงไป 90% หรือประมาณ 0.4% ต่อปี

🎄แพลตฟอร์มคริปโตที่ดีที่สุดในไทย | ธันวาคม 2024
🎄แพลตฟอร์มคริปโตที่ดีที่สุดในไทย | ธันวาคม 2024
🎄แพลตฟอร์มคริปโตที่ดีที่สุดในไทย | ธันวาคม 2024

ข้อจำกัดความรับผิด

หมายเหตุบรรณาธิการ: เนื้อหาต่อไปนี้ไม่ได้สะท้อนถึงมุมมองหรือความคิเห็นของ BeInCrypto มันจัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้นและไม่ควรถูกตีความว่าเป็นคำแนะนำทางการเงิน กรุณาทำการวิจัยของคุณเองก่อนที่จะทำการตัดสินใจลงทุนใดๆ

BIC_userpic_sb-31-1.jpg
Passanai Jiraruekmongkol
เด็กหนุ่มผู้ฝันใฝ่ในอนาคต เชื่อมั่นว่าคริปโตจะเป็นตลาดทุนที่ทุกคนสามารถเข้าถึงโอกาสการลงทุนที่ดีได้ จบรัฐศาสตร์การปกครอง มีประสบการณ์ทำงานด้านวงการธุรกิจ ได้หันตัวมาทุ่มสุดตักกับคริปโต
READ FULL BIO
ได้รับการสนับสนุน
ได้รับการสนับสนุน