ย้อนกลับ

Bitcoin ทำกำไรไปได้เท่าไหร่?

sameAuthor avatar

เขียนและแก้ไขโดย
Passanai Jiraruekmongkol

10 เมษายน พ.ศ. 2565 11:13 ICT
เชื่อถือได้

Bitcoin ทำกำไรไปได้เท่าไหร่? เป็นคำถามที่ถูกโยงมาจากโพสก่อนหน้านี้

แม้ว่าในช่วงทศวรรศนี้ Bitcoin จะถูก Halving ลงไปทุกๆปี แต่ Bitcoin ก็ยังขาดทุนจากค่า Transaction fee ไปอยู่ -98% แม้ว่าระบบ Bitcoin จะถูกออกแบบให้ผู้ขุด Bitcoin ได้ค่า Transaction fee ไปหลังจากที่ขุดครบ 95% ของทั้งหมดแล้วก็ตาม ปัจจุบันเครือข่ายก็ยังไม่สามารถที่จะคุ้มทุนได้ และคุ้มค่าที่จะรอว่ามันเองนั้นสามารถที่จะคุ้มทุนเมื่อแลกกับความปลอดภัยได้หรือไม่

จากข้อมูลข้างต้น เราพอจะเห็นภาพได้แล้วว่า ‘มันยากที่จะสร้างกำไรในธุรกิจ Blockchain’ (พูดง่ายๆคือการเป็น Validator Node อาจไม่ได้สร้างรายได้คืนทุนได้ไวขนาดนั้น)

Sponsored
Sponsored

แม้แต่ Ethereum ที่เป็น Chain ที่มีมูลค่าสูงสุดก็ยังไม่สามารถสร้างกำไรได้ในตอนนี้ ในขณะที่ Bitcoin นั้นแย่ยิ่งกว่า เมื่อเทียบกับ Layer 1 อื่นๆ

https://cdn.substack.com/image/fetch/f_auto,q_auto:good,fl_progressive:steep/https%3A%2F%2Fbucketeer-e05bbc84-baa3-437e-9518-adb32be77984.s3.amazonaws.com%2Fpublic%2Fimages%2F81a19789-ed89-4b69-b07e-eee01b497af4_1200x742.png

ทั้งๆที่สร้างกำไรไม่ได้ ทำไมยังโอเคอยู่หละ?

Blockchain ในตอนนี้นั้นมันยังอยู่แค่ในช่วงเริ่มต้นของเทคโนโลยีเท่านั้น แอพพริเคชั่นที่คนส่วนใหญ่ใช้แล้วฮิตนั้นยังไม่มี มันยังมีพื้นที่เหลืออีกมาให้คนเข้ามาพัฒนากัน ซึ่งตอนนี้มันก็พยายามเอาเงินมาเร่งพัฒนากันอยู่

เหตุการณ์ในตอนนี้มันคงจะคล้ายๆกับตลาดอินเทอร์เน็ตยุค 90 ที่มี Amazon ถูกสร้างขึ้นมาในปี 1994 แต่ยังไม่สร้างกำไรจนกว่าจะถึงปี 2001 ซึ่งแจ้งกำไรประมาณ $5 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับรายได้ $1 พันล้านดอลล่าร์

ใช้เวลาไปกว่า 7 ปีเพื่อสร้างบริษัทหลักล้านล้าน แม้ว่าตอนนี้มันยังแค่ ‘เกือบจะกำไร’ ก็ตามที

ย้อนกลับมา Bitcoin ในตอนนี้ Bitcoin มีอายุทั้งสิ้น 12 ปี Ethereum มีอายุ 7 ปี ซึ่งอายุแค่นี้เทียบกับที่การทำได้ผ่านมา เหมือนผ่านมาแล้วกว่า 2,000 ปีเลยทีเดียว

คำถามต่อมาคือ Blockchain นั้นจะสร้างรายได้ได้ทัดเทียมกับ Amazon หรือไม่?

Sponsored
Sponsored

หนทางสู่การทำกำไร Bitcoin ทำกำไรไปได้เท่าไหร่?
แล้วอะไรคือหนทางที่ทำให้ Blockchain มีกำไรหละ?

มี 2 เหตุผลครับ

  1. เพิ่ม Transaction ให้มากขึ้น
  2. ลดรายจ่ายกับการสร้างความปลอดภัยลง

1 การเพิ่ม Transaction ให้มากขึ้น
หนทางแรกในการสร้างรายได้คือการเพิ่มความสามารถของ Block การเพิ่มความสามารถคือการที่เราจะนำ Block นั้นๆไปใช้งานได้อย่างไรบ้าง? ซึ่งมันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการสร้าง Dapps ขึ้นบน Network ยิ่ง Network นั้นมีการใช้งานมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งมี Block เพิ่มขึ้นเท่านั้น

ตัวอย่างเช่น Ethereum ทุกๆคนบนโลกสามารถ swap $1 ล้านดอลล่าร์เพื่อได้รับ 1 ล้าน DAI ได้บน Uniswap ซึ่ง DAI อาจจะมีค่ามากสำหรับคนบางคน เขาอาจจะยอมเสีย $11 เพื่อแลกเหรียญดอลล่าร์เป็น DAI หรือสำหรับบางคนอาจจะยินยอมที่จะจ่ายมากถึง $1,000 ต่อ 1 Transaction ก็เป็นได้. บางที ในขณะที่ตลาดมีความผันผวนสูง เขาอาาจะจ่าย $10,000 ดอลล่าร์ ‘ทันที’ ซึ่งถ้าในแต่ละสถานการณ์มีเหตุการณ์เช่นนี้ อาจจะเป็นไปได้ที่เราจะได้กำไรมากขึ้นต่อ Block

Sponsored
Sponsored

Block จะมีค่าก็ต่อเมื่อมีมันมี Application มากขึ้น (เช่น Defi, NFT) ซึ่งสร้างระบบเศรษฐกิจข้างใน Block เหล่านั้น รายได้ที่มาจากความจุของ Block นั้นส่งผลโดยตรงกับ Application ที่มีบน Chain นั้นๆ

มันยิ่งจะชัดเจนมากขึ้นเมื่อเรามองเข้าไปใน Bitcoin เพราะ Bitcoin นั้นมีประโยชน์อย่างเดียวคือการ รับ-จ่าย ด้วย Bitcoin ซึ่งด้วยคุณประโยชน์อย่างเดียวนั้น ในปัจจุบันยังขาดทุนอยู่ที่ -98%

เราสามารถเห็นแพลตฟอร์ม Smartcontact ซึ่งมี Dapps สร้างอยู่มากมาย ซึ่งได้มีค่าธรรมเนียมที่สูงกว่า Bitcoin ไปแล้วเช่น Etheruem เนื่องจากคนยินดีที่จะแลกเปลี่ยนเหรียญกันบน Etheruem แทนที่จะใช้ Bitcoin

เป้าหมายคือเราต้องการรู้รายได้ของการใช้ Blockspace, ยิ่ง Blockspace นั้นมีการใช้งานมากเท่าไหร่ มี Token มากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งมี Ecosystem ที่เติบโตมากขึ้นเท่านั้น และทั้งหมดนี้จะต้องควบคู่กับความสามารถในการรองรับการเติบโตและความปลอดภัยของ Blockchain นั้นๆด้วย

2 การลดค่าใช้จ่ายเพื่อสร้างความปลอดภัย
การเพิ่มประโยชน์ของ Blockchain นั้นบางทีมันต้องเป็นไปแบบธรรมชาติ มีคนใช้ มีคนสร้าง ถ้าเราจะสร้างมันมาเพื่อเก็งกำไร มันมักจะอยู่ได้ไม่นาน

Sponsored
Sponsored

อย่างเช่น เพื่อที่จะทำให้ Blockchain นั้นยั่งยืนได้ มันจำเป็นต้องลดการจ่ายเหรียญลงในอนาคต เพื่อลดค่าใช้จ่ายของ Chain

ข้อเสียอย่างมากอันนึงคือ เมื่อคุณลดจำนวนเหรียญที่ผลิตได้ นั้นส่งผลให้คนที่จะมาเป็น Node นั้นย่อมน้อยลงเป็นธรรมดา, และเมื่อคนที่มาเป็นผู้ตรวจสอบ Block น้อยลงก็จะทำให้ความเสี่ยงที่ระบบจะโดนโจมตีง่ายก็มีมากขึ้น

เป็นเหมือนได้อย่างเสียอย่างระหว่าง ‘ความจุของ block’ และ ‘จำนวนการผลิตเหรียญ’ เมื่อมันแพงมากขึ้น ก็จะมี Chain ใหม่ถูกสร้างขึ้นมาแข่งด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยลง Blocksize ที่ใหญ่ขึ้น ซึ่ง Chain ที่สร้างมาใหม่แม้จะมีรายจ่ายที่น้อย แต่ก็แลกมากับรายได้ที่น้อยด้วยเช่นกัน ยิ่ง Chain นั้นๆมีความน่าใช้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีคนมาก็อปแล้วทำเป็น Private Blockchain มากเท่านั้น

เมื่อ Blockchain มีคนมาใช้มากขึ้น ยิ่งอยากให้มันปลอดภัยมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งต้องจ่ายมากขึ้นเท่านั้น!

มาดูอัตราความเฟ้อของเหรียญกันบ้างดีกว่า

  • Ethereum: 4.20%
  • Solana: 9.15%
  • Avalanche: 26.6%

โดยที่ ETH 2.0 นั้นจะทำให้ ETH เฟ้อลดลงไป 90% หรือประมาณ 0.4% ต่อปี

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ

หมายเหตุบรรณาธิการ: เนื้อหาต่อไปนี้ไม่ได้สะท้อนถึงมุมมองหรือความคิดเห็นของ BeInCrypto มันจัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้นและไม่ควรถูกตีความว่าเป็นคำแนะนำทางการเงิน กรุณาทำการวิจัยของคุณเองก่อนที่จะทำการตัดสินใจลงทุนใดๆ ทั้งนี้เป็นไปตาม แนวทางของ Trust Project และโปรดตรวจสอบ ข้อกำหนดและเงื่อนไข, นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อจำกัดความรับผิดชอบ ของเรา