เราควรจะเก็บเงินสดของเราเอาไว้ที่ไหน? จะเก็บมันไว้ในตลาดคริปโตที่ทำให้เลือดลมสูบฉีด หรือ เก็บไว้ในธนาคารแบบดั้งเดิมดี? ในปี 2022 คริปโตก็ไม่ได้มีปีที่ดี หลังจากการล่มสลายของ Terra และ FTX ที่ทำให้เกิดภาวะตลาดหมี ส่วนในปี 2023 ธนาคารต่างๆ ก็เริ่มล้มลงเช่นกัน ในบทความ “คริปโต vs. ธนาคาร” นี้ เราจะมาสำรวจกันถึงสถานการณ์ต่างๆ เพื่อที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดในเรื่องทางการเงินของคุณ คริปโตหรือ TradFi จะเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยกว่าหรือไม่? ไปดูกันเลย!
BeInCrypto Trading Community บน Telegram
เข้าร่วมชุมชนของเราเพื่อรับข่าวสารล่าสุดและการวิเคราะห์เกี่ยวกับเหรียญคริปโตต่างๆ พร้อมทั้งพูดคุยกับผู้คนที่มีความสนใจเหมือนกันและนักเทรดผู้เชี่ยวชาญของเรา!
สมาชิกของเรายังจะได้รับสิทธิประโยชน์มากมายอีกด้วย:
- รีวิวและวิเคราะห์ตลาดรายวันจากนักเทรดผู้มีประสบการณ์
- พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ต่างๆ กับผู้ที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน
- ข้อเสนอและการแข่งขันชิงรางวัลสุดพิเศษสำหรับสมาชิกชุมชน
- เข้าถึงข่าวสารและกิจกรรมล่าสุดของโลกคริปโตได้อย่างรวดเร็ว
เข้าร่วม BeInCrypto Trading Community ของเราได้แล้ววันนี้ แล้วเพลิดเพลินไปกับสิทธิประโยชน์ต่างๆ จากชุมชนของเรา!
เก็บเงินไว้กับ “คริปโต” : มันมีข้อดีและข้อเสียอย่างไร?
คริปโต คือ อนาคต! เทคโนโลยี ความปลอดภัย และความโปร่งใสมาจาก DLT (Distributed Ledger Technology) และ Blockchain นั้นไม่เป็นสองรองใคร ซึ่งแตกต่างจากธนาคารตรงที่มันไม่ได้ถูกจัดการโดยหน่วยงานส่วนกลาง แต่เป็นการจัดการจากผู้ที่เข้าร่วมระบบนิเวศเหล่านั้น
Bitcoin สกุลเงินดิจิทัลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดและเป็นสกุลเงินดิจิทัลเชิงพาณิชย์รายแรกที่มีนักขุดที่ช่วยในการจัดการเครือข่ายของตน Ethereum เป็นแหล่งรวมของสัญญาอัจฉริยะ มีตัวตรวจสอบความถูกต้องที่ช่วยทำให้เครือข่ายปลอดภัย ซึ่งระบบนิเวศเหล่านี้จะทำงานแยกกันเหมือนเป็นโลกดิจิทัลทั้ง 2 โลก ซึ่งสกุลเงินดั้งเดิมของระบบนิเวศอย่าง BTC และ ETH จะถูกใช้ในการทำธุรกรรมและชำระค่าบริการภายในโลกเหล่านั้น
พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ คริปโต แต่ละตัวคือสิ่งที่ช่วยขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของระบบนิเวศของตน ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นสกุลเงินเฟียตของประเทศต่างๆ นั่นเอง
ข้อดีของ “คริปโต”
คริปโตมีประโยชน์มากมายที่ทำให้มันเป็นที่ต้องการ ลองไปดูกันดีกว่า
การกระจายอำนาจ
การกระจายอำนาจหมายถึงจะไม่มีการควบคุมจากหน่วยงานกลางใดๆ ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องง่ายกว่าที่จะใช้ คริปโต ในการชำระหรือโอนเงินข้ามพรมแดน ธุรกรรมคริปโตมีความปลอดภัยอย่างมากเนื่องจากข้อมูลจะถูกเก็บอยู่บนบัญชีแยกประเภทแบบกระจายอำนาจด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน อีกหนึ่งเหตุผลคือการกระจายอำนาจมาพร้อมกับความไม่เปลี่ยนแปลง (Immutability) ซึ่งทำให้มันสามารถต่อต้านการฉ้อโกงทางการเงินได้ ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ TradFi ต้องทำงานร่วมกับเทคโนโลยี Blockchain, Crypto และ DeFi อย่างใกล้ชิด
มีปฏิสัมพันธ์ของกับมนุษย์น้อยที่สุด
คริปโตสามารถตั้งโปรแกรมให้โอนจากที่อยู่หนึ่งไปยังอีกที่อยู่หนึ่งได้ ซึ่งช่วยให้ลดการควบคุมจากตัวกลางลดลง ทำให้สินทรัพย์ดิจิทัลมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นและมีแนวโน้มที่จะมีปฏิสัมพันธ์และการจัดการของมนุษย์น้อยลงไปอีกด้วย
ความโปร่งใส
แพลตฟอร์มเช่น Etherscan ช่วยให้คุณสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ดิจิทัลในที่อยู่ต่างๆ ได้ ซึ่งหมายความว่า ทุกคนสามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวของ คริปโต ที่เกิดจากที่อยู่ของเหล่าวาฬและฉลามได้ ซึ่งทำให้ธุรกรรมคริปโตต่างๆ มีความโปร่งใสเป็นอย่างมาก
ลดโอกาสในการถูกปิดกั้น
เนื่องจากสกุลเงินดิจิทัลมีการกระจายอำนาจ การที่มันจะถูกปิดกั้น (เพื่อไม่ให้สามารถใช้งานได้) จึงเป็นเรื่องยากมาก เว้นแต่ว่าระบบนิเวศจะมีโค้ดที่ตั้งโปรแกรมไว้ล่วงหน้าเพื่อตรวจจับพฤติกรรมที่น่าสงสัย (ซึ่งจะป้องกันการทำธุรกรรมประเภทใดประเภทหนึ่งโดยเฉพาะ)
ประตูสู่อิสรภาพทางการเงิน
เราสามารถส่งคริปโตให้ใครก็ได้ทั่วโลกโดยไม่ต้องเสียค่าคอมมิชชั่นหรือค่าธรรมเนียมที่สูงจนเกินไป ด้วยอุปสรรคในการเข้าถึงที่ลดลง คริปโตจึงสามารถเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น
ข้อเสนอที่หลากหลาย
ถึงแม้ว่าวงการคริปโตจะเป็นเหมือนวงการที่พึ่งตั้งไข่ แต่มันก็นำมาซึ่งโอกาสทางการเงินมากมาย ในขณะที่คุณสามารถซื้อขาย คริปโต ได้เหมือนหลักทรัพย์ทั่วไป โลกของ DeFi ก็ยังเปิดทางเลือกใหม่ๆ ให้กับคุณไปพร้อมกัน เช่น Yield Farming, Flash Loans, Liquidity Pooling และอื่นๆ อีกมากมาย ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน มันทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินที่หลากหลายได้โดยไม่ต้องพึ่งพาตัวกลางอย่างธนาคารกลาง
ข้อเสียของ “คริปโต”
ถึงแม้ว่าคริปโตจะให้ประโยชน์มากมาย แต่มันก็ยังห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบ ณ วันที่ 14 มีนาคม 2023 Euler Finance ซึ่งเป็นโปรโตคอลการให้กู้ยืมบน Ethereum ประสบปัญหาจากการโจมตี Flash Loan ซึ่งทำให้เงินทุนมูลค่า 195 ล้านดอลลาร์ถูกขโมยไปได้
และนั่นไม่ใช่แค่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ต่อไปนี้คือข้อเสียบางประการของคริปโต โดยเฉพาะเรื่องการจัดเก็บเงินทุนหรือการลงทุน
ไม่มีการรับประกัน
ต่างจากธนาคารที่คุณได้รัยความคุ้มครองจาก FDIC หรือหน่วยงานเฉพาะของในแต่ละประเทศ เงินทุนใดๆ ของคุณที่ฝากไว้ในกระเป๋าเงินคริปโตหรือโปรโตคอล DeFi จะไม่ได้รับความคุ้มครองหรือไม่มีการรับประกันจากกองทุนใดๆ มีเพียงกระดานเทรดบางแห่งเท่านั้นที่ให้การรับประกันบางอย่าง แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ลูกค้าของโลกคริปโตนั้นจะได้รับความคุ้มครองน้อยกว่าเมื่อเทียบกับผู้ใช้งานที่มีปฏิสัมพันธ์กับโลกการเงินแบบดั้งเดิม
ความผันผวน
ถึงแม้ว่าสินทรัพย์แบบ High-Beta ทุกตัวจะมีความผันผวน แต่ คริปโต นั้นมักจะถูกขับเคลื่อนโดยอารมณ์ตลาดหรือแม้แต่กระทั่งข่าวลือต่างๆ ซึ่งทำให้การเคลื่อนไหวของราคาหลายๆ ครั้งเป็นเพียงการเก็งกำไรเท่านั้น
และนี่คือความเคลื่อนไหวของราคาของ Dogecoin (Memecoin ที่เป็นที่รู้จักกันดี) ตอบสนองต่อบิดาแห่ง Doge อย่าง Elon Musk ที่ทำการเข้าซื้อกิจการ Twitter ได้สำเร็จ
ความผันผวนเหล่านี้ทำให้การลงทุนใน DeFi มีความเสี่ยงที่จะถูกชำระบัญชีได้อย่างง่ายดาย
กฏระเบียบที่ยังไม่ชัดเจน
เริ่มตั้งแต่การถูกห้ามขุดเหมืองในประเทศจีน ไปจนถึงการเก็บภาษีที่เข้มงวดในประเทศต่างๆ เช่น อินเดีย ขอบเขตของการยอมรับและความชัดเจนของกฏระเบียบต่างๆ ทั่วโลกไม่ได้มีเหมือนกัน ความเอาแน่เอานอนไม่ได้ของกฏระเบียบที่เกี่ยวกับ คริปโต ในประเทศต่างๆ นั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ใช้งานเกิดความกังวล
ยังต้องแลกเปลี่ยนด้วยสกุลเงินเฟียต
คริปโต ยังไม่ได้รับการยอมรับในวงกว้างสำหรับการใช้เป็นสินทรัพย์ในการชำระเงินหรือการโอนเงิน ดังนั้น นักลงทุนจึงยังต้องพึ่งพาการแลกสกุลเงินเฟียตเพื่อตอบโต้กับระบบนิเวศคริปโต และต่อให้ผู้ใช้งานมีคริปโตอยู่เท่านั้น แต่การใช้งานในชีวิตประจำวัน ผู้คนยังคงต้องใช้สกุลเงินเฟียต ซึ่งนั่นหมายถึงก็ต้องพึ่งพาการแปลงสกุลเงินคริปโตเป็นสกุลเงินเฟียตอยู่ดี
UI/UX ที่สับสน
ถึงแม้ว่าโปรโตคอลที่เน้นเรื่องผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลาง เช่น ERC-4337 จะเริ่มมีพัฒนาการอย่างช้าๆ แต่การใช้งานหลักของผู้ใช้งานคริปโตก็ยังคงมีพื้นฐานจากการใช้งานกระเป๋าเงินและ Seed Phrase ซึ่ง UI และ UX ที่ชวนให้เข้าใจยาก (สำหรับมือใหม่หรือผู้ใช้งานทั่วไป) เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คริปโตไม่ได้รับการยอมรับเท่าที่ควร
เป็นเป้าหมายของการโจมตี
ตั้งแต่สัญญาอัจฉริยะที่เต็มไปด้วยช่องโหว่, การดึงพรม (Rug Pulls), ไปจนถึงมัลแวร์ต่างๆ คริปโตมักจะตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีจากผู้ไม่ประสงค์ดีมากมาย ตัวอย่างเช่น Wormhole Bridge, Nomad Bridge, Ronin Network และการแฮ็กอื่นๆ อีกมากมายในปี 2022
และนั่นคือสรุปข้อดีและข้อเสียของการเก็บเงินทุนในรูปแบบของคริปโต หรือ เก็บไว้ในโปรโตคอลที่เกี่ยวข้องกับคริปโต อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น ถึงแม้ว่าการใช้งาน คริปโต จะมีประโยชน์มากมาย แต่มันก็ยังมีข้อกังวลต่างๆ อยู่มากมายเช่นกัน
เก็บเงินไว้กับ “ธนาคาร” : มันมีข้อดีและข้อเสียอย่างไร?
จบกันไปแล้วกับเรื่องข้อดีข้อเสียของคริปโต ต่อไป เราจะมาให้ความสนใจกันในเรื่อง TradFi หรือการเงินแบบดั้งเดิมอย่าง “ธนาคาร” กัน ถึงแม้ว่าผู้คนจะมีกระแสความคลั่งไคล้คริปโตมากเท่าใด แต่ระบบธนาคารก็ยังไม่เคยสั่นคลอนแต่อย่างใด การต่อสู้ระหว่าง คริปโต vs. ธนาคาร ก็ดูเหมือนจะไม่มีฝ่ายใดได้เปรียบ อีกทั้ง ทั้งสองก็ยังมีการเชื่อมโยงกันอย่างแท้จริง ผู้ใช้งานคริปโตยังคงต้องพึ่งพาระบบธนาคารและสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมเป็นอย่างมาก
เรามาดูกันดีกว่าว่า ทำไมธนาคารถึงได้รับความนิยมและยังคงเป็นที่นิยมอยู่ในปัจจุบัน
ข้อดีของ “ธนาคาร”
ต่อไปนี้คือข้อดีบางประการของการใช้ช่องทางทางการเงินแบบดั้งเดิม เช่น ธนาคาร เพื่อจัดเก็บเงินทุนของคุณ
ความปลอดภัยของเงินทุน
ธนาคารนั้นจะให้การคุ้มครองเงินทุนบางส่วนของผู้ใช้งาน ตัวอย่างเช่น ในประเทศสหรัฐฯ FDIC หรือ Federal Deposit Insurance Corporation จะให้ความคุ้มครองมาตรฐานที่ยอดเงิน 250,000 ดอลลาร์แก่ผู้ฝากทุกคน ถึงแม้ว่าลักษณะของการฝากเงินจะแตกต่างกันไป แต่ยอดคุ้มครองเงินฝาก 250,000 ดอลลาร์ก็จะให้ความครอบคลุม
และนั่นเป็นเพียงการรับประกันเท่านั้น ในกรณีที่มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น (เช่น วิกฤต SVB ในปัจจุบัน) กับธนาคาร หน่วยงานกำกับดูแลสามารถเข้ามาดำเนินการเพื่อคืนเงินทั้งหมดให้กับผู้ฝากทุกคนได้
ใช้งานได้ง่าย
บริการของธนาคาร เช่น การทำธุรกรรมต่างๆ นั้นสามารถเข้าใจได้ง่ายและสะดวกสบาย คุณเพียงแค่ต้องสมัครบัญชีและตรวจสอบ KYC เท่านั้น นอกจากนี้ การกู้คืนบัญชียังง่ายกว่าการจัดการกระเป๋าเงินคริปโตด้วย Seed Phrase เป็นอย่างมากอีกด้วย
โครงสร้างพื้นฐานที่มีความน่าเชื่อถือ
สถาบันการเงินมีสถานะเป็นนิติบุคคล (อย่างน้อยก็โดยส่วนใหญ่) และผู้ใช้งานบางรายยังคงชอบที่จะใช้งานสถาบันการเงินที่มีอยู่ในโลกของความเป็นจริง อีกทั้ง ธนาคารต่างๆ นั้นมีอยู่ทั่วโลก ทำให้สกุลเงินเฟียตได้รับการยอมรับในทุกๆ ที่สำหรับการชำระเงินใดๆ
ข้อเสียของ “ธนาคาร”
หลายปีที่ผ่านมา การลงทุนในผลิตภัณฑ์ธนาคาร เช่น CDs (Certificate of Deposits), บัญชีตลาดเงิน, บัญชีออมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง, และ IRA ได้รับการพิจารณาว่ามีผลตอบแทนที่ค่อนข้างคงที่ แต่อย่างไรก็ตาม เหล่านักลงทุนและผู้ฝากเงินเริ่มเห็นสัญญานถึงความเปราะบาง เมื่อธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐอย่าง Silvergate และ SVB เริ่มล่มสลายในช่วงกลางเดือนมีนาคม 2023 และนั่นทำให้เราได้พบกับข้อเสียของระบบธนาคารแบบดั้งเดิม
มีความเป็นศูนย์กลาง
ธนาคารนั้นถูกควบคุมโดยหน่วยงานกำกับดูแล ดังนั้น ระบบการเงินแบบดั้งเดิมเหล่านี้สามารถปิดกั้นหรือเลือกที่จะระงับบัญชีของผู้ใช้งานใดๆ ได้ทุกเมื่อ ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลธุรกรรมของธนาคารจะถูกบันทึกไว้กับธนาคารหรือธนาคารกลาง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับหลักการของความโปร่งใสแต่อย่างใด ถึงแม้ว่าการทำธุรกรรมกับธนาคารอาจจะทำให้รู้สึกเหมือนการทำธุรกรรมแบบ P2P (Peer-to-Peer) แต่ด้วยการควบคุมของหน่วยงานศูนย์กลางไม่ทำให้รู้สึกอย่างนั้นแต่อย่างไร
ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย
ธนาคารเองก็ต้องเก็บเงินของผู้ใช้งานไว้ที่ใดที่หนึ่ง และในกรณีส่วนใหญ่แล้ว จะเป็นการถือหลักทรัพย์มูลค่าคงที่อย่าง พันธบัตรและตั๋วเงินคลัง อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลมีการเปลี่ยนแปลง, ลด, หรือขึ้นอัตราดอกเบี้ย มันก็จะส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อเงินลงทุนและมูลค่าของธนาคาร ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าการลงทุนเหล่านี้ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับธนาคารเสมอไป
ความเสี่ยงเชิงระบบ
มีอยู่บางครั้งที่ธนาคารหนึ่งได้ฝากเงินไว้กับอีกธนาคารหนึ่ง หรืออาจมีเงื่อนไขการกู้ยืมและให้กู้ยืมระหว่างธนาคาร ดังนั้น หากธนาคารใดธนาคารหนึ่งล้มเหลวหรือเผชิญภาวะล้มละลาย สถาบันการเงินอื่นๆ ที่ได้รับการพึ่งพาจากธนาคารดังกล่าวก็อาจจะเริ่มล้มได้เช่นกัน ซึ่งเป็นการก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบการเงินในวงกว้าง
นอกจากข้อเสียต่างๆ ที่ได้กล่าวไปแล้ว ระบบการเงินแบบดั้งเดิมนั้นยังมีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาต่างๆ อย่างเช่น ความโปร่งใสต่ำ, อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงสำหรับตราสารเงินที่เฉพาะเจาะจง หรือแม้แต่การเข้าถึงที่จำกัด (ธนาคารปิดในวันหยุดต่างๆ)
คริปโต vs. ธนาคาร: เราได้ผู้ชนะหรือยัง?
ท้ายที่สุดแล้ว เราก็ต้องเคลื่อนย้ายเงินไปเรื่อยตามสถานการณ์ที่เราเห็นสมควร ดังนั้น ในเรื่องที่ว่า คริปโต หรือ ธนาคาร ดีกว่ากันนั้น เราอาจจะไม่ต้องฟันธงลงไปอย่างชัดเจนขนาดนั้น บริษัทคริปโตแบบรวมศูนย์ต่างๆ ก็ยังคงต้องการการสนับสนุนจากธนาคารและการแลกเปลี่ยนแบบ on-ramp / off-ramp เพื่อผลักดันให้เกิดกรณีการใช้งานร่วมกัน แม้กระทั่งบริการแบบกระจายอำนาจต่างๆ อย่าง UniSwap, Curve, หรืออื่นๆ อีกมากมาย การแลกเปลี่ยน(เงิน)ในขั้นสุดท้ายก็ยังจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับสถาบันทางการเงินแบบดั้งเดิมในท้ายที่สุด ในทำนองเดียวกัน เทคโนโลยีบล็อกเชนนั้นก็สามารถนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาของ TradFi ได้ในหลายๆ อย่าง เช่น ปัญหาเรื่องความโปร่งใส ดังนั้น ธนาคารก็ยังคงจะมีส่วนร่วมกับบริการและบริษัทคริปโตต่างๆ ต่อไปเพื่อขยายไปยังฐานลูกค้าที่กว้างขึ้นและเพื่อปรับปรุงส่วนที่เป็นปัญหาสืบทอดกันมา
ทั้งคริปโตและธนาคารต่างก็มีข้อบกพร่องไม่ต่างกัน อย่างไรก็ตาม คริปโตนั้นมีการใช้งานเทคโนโลยีใหม่ๆ มากกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ธนาคารต่างๆ กำลังพยายามที่จะผสานรวมเทคโนโลยีเหล่านั้นเพื่อตามให้ทัน ดังนั้น การลงทุนกับคริปโตอย่างระมัดระวังดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าเล็กน้อย อย่างที่ทราบ ทั้ง 2 ฝั่งต่างก็มีความเสี่ยงไม่ต่างกัน แต่ด้วยการที่คริปโตพึ่งพาเทคโนโลยีใหม่ๆ มันจึงดูมีความก้าวไปข้างหน้ามากกว่าและเปรียบเสมือนเป็นการพลิกโฉมแนวคิดต่างๆ จากแนวคิดในแบบดั้งเดิมที่ล้าสมัย
คำศัพท์ทางเทคนิคในบทความ
- DeFi (Decentralized Finance): ระบบการเงินรูปแบบใหม่ที่ให้ทำธุรกรรมทางการเงินโดยไม่ต้องมีตัวกลางอย่างสถาบันการเงินมารองรับ แต่จะเป็นการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน เช่น Smart Contract เป็นต้น
- On-ramp / Off-ramp: บริการการแปลงสกุลเงินจาก เฟียตเป็นคริปโต (On-ramp) และ คริปโตเป็นเฟียต (Off-ramp)
คำถามที่พบบ่อย
คริปโตดีกว่าธนาคารหรือไม่?
ทำไมคริปโตจึงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าธนาคารแบบดั้งเดิม?
คริปโตจะมาแทนที่ธนาคารได้หรือไม่?
คริปโตปลอดภัยกว่าธนาคารหรือไม่?
เก็บเงินไว้ในคริปโตหรือธนาคารดีกว่า?
ข้อจำกัดความรับผิด
ข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่บนเว็บไซต์ของเราเผยแพร่ด้วยเจตนาที่ดีและเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น การกระทำใด ๆ ที่ผู้อ่านดำเนินการตามข้อมูลที่พบบนเว็บไซต์ของเราถือเป็นความเสี่ยงของผู้อ่านโดยเฉพาะ Learn ให้ความสำคัญกับข้อมูลคุณภาพสูง เราอุทิศเวลาให้กับการแยกแยะ ค้นคว้า และสร้างเนื้อหาเพื่อการศึกษาซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน เพื่อเป็นการรักษามาตรฐานนี้และเพื่อสร้างเนื้อหาคุณภาพได้อย่างต่อเนื่อง พาร์ตเนอร์ของเราอาจตอบแทนเราด้วยค่าคอมมิชชั่นสำหรับการจัดวางตำแหน่งต่าง ๆ ในบทความของเรา อย่างไรก็ดี ค่าคอมมิชชั่นนี้ไม่มีผลต่อกระบวนการของเราในการสร้างเนื้อหาที่ไร้อคติ ตรงไปตรงมา และเป็นประโยชน์