ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ในยุคนี้ การลงทุนเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายมากๆ เนื่องจากมีสินทรัพย์เพื่อการลงทุนให้เลือกอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น กองทุน, พันธบัตร, หรือ ฟอเร็กซ์ ฯลฯ อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงสิ่งที่นักลงทุนนิยมเทรดกัน ก็คงจะไม่พูดถึง “หุ้น” (Stock) สินทรัพย์แบบดั้งเดิมที่ได้รับความนิยมในการเทรดมากที่สุด พร้อมทั้งมีประวัติมาอย่างยาวนาน และ คริปโต (Crypto) สินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับความนิยมในหมู่คนรุ่นใหม่ ในบทความ “หุ้น vs คริปโต” เราจะมาดูถึงความแตกต่าง รวมไปถึง ข้อดีและข้อเสียของสินทรัพย์ทั้ง 2 ประเภท มาดูกันว่า สินทรัพย์แบบใดที่เหมาะกับสไตล์การลงทุนของคุณ!
หุ้น (Stock) คืออะไร?
“หุ้น” คือ หลักทรัพย์ที่แสดงถึงความเป็นเจ้าของ “บางส่วน” ของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์นั้นๆ ในบางกรณี ผู้ถือหุ้นมีสิทธิ์ที่จะได้รับส่วนแบ่งกำไรของบริษัทในรูปของเงินปันผลด้วย มูลค่าของหุ้นจะเปลี่ยนแปลงไปตามผลการดำเนินงานของบริษัท แต่ก็รวมไปถึง ปัจจัยอื่นๆ เช่น สภาพเศรษฐกิจ, การเติบโตของอุตสาหกรรม, การเมือง ฯลฯ โดยส่วนใหญ่ หุ้นจะมีการซื้อและขายในตลาดหลักทรัพย์ เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET), ตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก (Nasdaq) หรือ ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) เป็นต้น
“หุ้น” คือสิ่งที่นักลงทุนส่วนใหญ่ต่างก็ให้ความสนใจ เพราะเมื่อบริษัทใดบริษัทหนึ่งประสบผลสำเร็จ มันก็เปรียบเสมือนว่า คนที่ลงทุนในหุ้นของบริษัทดังกล่าวก็ประสบความสำเร็จเช่นกัน เมื่อมูลค่าของหุ้นเพิ่มขึ้น นักลงทุนก็สามารถขายหุ้นออกไปเพื่อทำกำไรได้ หรือ จะเก็บหุ้นไว้เพื่อรับเงินปันผลก็สามารถทำได้ อย่างไรก็ตาม มันเป็นที่แน่นอนว่า บริษัทต่างๆ ไม่ได้ทำได้ดีเสมอไป หรือไม่ก็อาจจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกอื่นๆ ดังนั้น นักลงทุนจึงมีความเสี่ยงที่มูลค่าหุ้นของพวกเขาจะลดลงได้เช่นกัน
ข้อดีและข้อเสียของ “หุ้น”
ข้อดี
- มีกฏหมายควบคุม ทำให้มีความมั่นคงสูง
- เข้าถึงได้ง่าย มีแพลตฟอร์มเทรดให้เลือกใช้งานมากมาย
- หุ้นมากมายที่มีให้เลือกเทรด ทั้งของอุตสาหกรรมและภาคส่วนต่างๆ
- มีโอกาสที่จะได้รับเงินปันผล
- มีข้อมูลตลาดย้อนหลังให้สามารถศึกษาและวิเคราะห์ได้หลายศตวรรษ
ข้อเสีย
- ใช้เงินลงทุนเยอะกว่า (เมื่อเทียบกับคริปโต)
- ตลาดซื้อขายไม่ได้เปิดทำการทุกวันหรือตลอด 24 ชั่วโมง
- มีค่าธรรมเนียมต่างๆ มากมาย
- ต้องอาศัยการศึกษาข้อมูลค่อนข้างเยอะ (เพื่อที่จะทำกำไร)
คริปโต (Crypto) คืออะไร?
“คริปโต” คือ สกุลเงินดิจิทัลที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน และเป็นสินทรัพย์ที่ถูกใช้เป็นสื่อกลางสำหรับชำระเงินบนโลกดิจิทัล สกุลเงินดิจิทัลส่วนใหญ่นั้นจะทำงานอยู่บนเครือข่ายแบบกระจายอำนาจ และมูลค่าของมันจะถูกขับเคลื่อนโดยอุปสงค์และอุปทานเสียเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าสกุลเงินดิจิทัลเหล่านั้นบางส่วนจะมีประโยชน์ใช้งานอื่นๆ นอกเหนือไปจากการเป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุน (เช่น NFT) แต่สกุลเงินดิจิทัลโดยส่วนใหญ่ยังคงไม่ได้รับการกำกับดูแลจากภาครัฐ ทำให้สามารถพูดได้ว่าเป็นสินทรัพย์ที่ค่อนข้างมีความเสี่ยงอยู่ในระดับหนึ่ง
ในปัจจุบัน ผู้คนต่างหันมาให้ความสนใจใน “สกุลเงินดิจิทัล” หรือ “คริปโต” ก็อันเนื่องมาจากหลายๆ คนมองว่า มันคืออนาคตของโลกการเงิน บางคนก็เลือกที่จะเทรดคริปโตมากกว่าหุ้น ก็เพราะมันใช้เงินในการลงทุนน้อยกว่า นอกจากนี้ ด้วยธรรมชาติของคริปโตที่มีความผันผวนสูง โอกาสที่จะ “พลิก” มาทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำก็สูงกว่าตราสารทางการเงินแบบดั้งเดิม
ข้อดีและข้อเสียของ “คริปโต”
ข้อดี
- เข้าถึงได้ง่ายมาก ใครที่มีอินเตอร์เน็ตก็สามารถเทรดคริปโตได้
- มีการกระจายอำนาจ ไม่ขึ้นตรงต่อหน่วยงานหรือองค์กรใดๆ ทำให้มีความโปร่งใสสูง
- มีรูปแบบในการลงทุนที่ยืดหยุ่นสูง ไม่ว่าจะเป็นการเทรด, Staking, Yield Farming, หรือ จัดหาสภาพคล่องเพื่อรับผลตอบแทน เป็นต้น
- มีอรรถประโยชน์ที่หลากหลาย เช่น Fan Tokens ที่สามารถมอบสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ถือ หรือ Governance Tokens ซึ่งจะมอบสิทธิ์ในการโหวตในการพัฒนาโปรเจกต์ให้กับผู้ถือ เป็นต้น
- มีอัตราการเติบโตที่สูงถึงสูงมาก ทำให้มีโอกาสทำกำไรได้มาก
- ตลาดซื้อขายเปิดตลอด 24/7 (ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง)
- ใช้เงินเริ่มต้นในการลงทุนที่น้อยกว่า
ข้อเสีย
- มีความผันผวนสูงมาก
- ยังไม่มีกฏหมายควบคุม
- ยังไม่ได้รับการยอมรับในวงกว้างมากนัก
- มีความเสี่ยงสูง
หุ้น vs คริปโต: ความแตกต่างระหว่างสินทรัพย์ทั้ง 2 ประเภท
วัตถุประสงค์ของสินทรัพย์
วัตถุประสงค์หลัก (โดยส่วนใหญ่) ของ “คริปโต” ก็คือ การใช้เป็นสื่อกลางสำหรับการทำธุรกรรมบนเครือข่ายนั้นๆ ซึ่งนั่นหมายความว่า มันถูกออกแบบมาเพื่อให้เป็น “สกุลเงิน” สำหรับใช้จ่ายเป็นหลัก ในทางกลับกัน เมื่อเราซื้อหุ้น มันก็เปรียบเสมือนว่าเราซื้อสิทธิ์ ”บางส่วน” ของบริษัทนั้นๆ นั่นหมาย ตัว “หุ้น” เองนั้น ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางสำหรับการชำระเงินเหมือนกับ “คริปโต”
ความเป็นเจ้าของ
การซื้อหุ้น คุณจะได้รับ “สิทธิ์” ส่วนหนึ่งในบริษัทดังกล่าว เช่น สามารถโหวตลงคะแนนเสียงได้ หรือ สิทธิ์ในการได้รับเงินปันผล ถ้าจะพูดให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น คุณไม่ได้ใช้หุ้นในการแลกสิทธิ์ดังกล่าว แต่เป็นสิทธิ์ที่มาพร้อมกับการครอบครองหุ้นนั้นๆ ในขณะเดียวกัน การครอบครองเหรียญคริปโตไม่ได้ทำให้คุณมีสิทธิ์ในเครือข่ายนั้นๆ แต่อย่างใด (นอกเหนือจาก Governance Tokens ที่จะมอบสิทธิ์ให้ผู้ถือครองสามารถโหวตต่อข้อเสนอต่างๆ ได้)
การกำกับดูแลจากภาครัฐ
ความแตกต่างที่สำคัญอีกประการหนึ่งระหว่าง หุ้น vs คริปโต ก็คือ การกำกับดูแลจากภาครัฐ ตลาดหุ้น จะได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานระดับชาติ เช่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐที่ทำหน้าที่กำกับดูแลและพัฒนาตลาดทุนไทยให้เป็นแหล่งลงทุนที่มีประสิทธิภาพ ทำให้มั่นใจได้ถึงความโปร่งใสและปลอดภัย ในทางตรงกันข้าม “เหรียญคริปโต” ส่วนใหญ่ยังคงไม่ได้รับการควบคุมหรือกำกับดูแลจากภาครัฐ ทำให้การลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลนั้นมาพร้อมกับความเสี่ยงที่มากอยู่พอสมควร
สภาพคล่อง
ตลาดหุ้นเป็นตลาดที่มีสภาพคล่องที่สูงมาก เนื่องจากเป็นตลาดที่ได้รับความนิยมในการเทรดมาแล้วเป็นเวลานาน ในทางกลับกัน สภาพคล่องของคริปโตนั้นจะแตกต่างกันไปตามแต่ละเหรียญ สกุลที่ได้รับความนิยมสูงก็จะมีสภาพคล่องที่ดี (เช่น BTC, ETH เป็นต้น) ในขณะที่เหรียญที่ไม่ได้รับความนิยมก็จะมีสภาพคล่องที่ต่ำมาก
ช่วงเวลาในการทำการซื้อขาย
โดยส่วนใหญ่แล้ว ตลาดหลักทรัพย์จะเปิดให้บริการตั้งแต่ จันทร์ ถึง ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 09.30 – 17.00 น. และปิดทำการในวันหยุดในวันหยุดสุดสัปดาห์ (เสาร์-อาทิตย์) ในขณะที่ ตลาดคริปโตจะเปิดให้เทรดได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้นี่อาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ตลาดคริปโตมีความผันผวนที่ค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ตลาดคริปโตเปิดตลอด 24/7 ก็ทำให้มันได้รับความนิยมสำหรับเหล่านักเทรดหน้าใหม่ๆ ด้วยเช่นกัน
ลักษณะการเทรดหุ้นหรือคริปโตแตกต่างกันหรือไม่?
โดยทั่วไปแล้ว การเทรดหุ้นหรือคริปโตก็จะสามารถทำได้โดยการซื้อและขายได้ผ่านกระดานเทรดหรือแพลตฟอร์มซื้อขายต่างๆ ที่รองรับสินทรัพย์เหล่านั้น โดยที่ราคาก็จะขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานของตลาดเช่นเดียวกัน ระบบคำสั่งต่างๆ ในการเทรดก็จะคล้ายคลึงกัน (Market Order, Limit Order และ Stop-Limit Order) หรืออาจจะพูดได้ว่า การเทรดหุ้นหรือคริปโตนั้นไม่มีความแตกต่างกันมากนักในเชิงของระบบ
อย่างไรก็ดี สิ่งที่แตกต่างออกไปน่าจะเป็นเรื่องของกลไกที่ทำให้ราคาของสินทรัพย์เคลื่อนไหวเสียมากกว่า สำหรับหุ้น ปัจจัยที่จะทำให้ราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้นหลักๆ แล้วจะอยู่ที่ผลการดำเนินงานทางการเงินของบริษัทนั้นๆ ในขณะที่ราคาของคริปโตนั้นจะอ่อนไหวต่อ Social Sentiment ค่อนข้างมาก ตัวอย่างเช่น การที่ราคาของ Dogecoin พุ่งสูงขึ้นเพียงเพราะ Elon Musk แก้ไขโปรไฟล์ใน Twitter เป็นรูปโลโก้ตัว X&D เป็นต้น
จะเทรด “หุ้น” หรือว่า “คริปโต” ดี?
ทั้งหุ้นและคริปโตต่างก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าคุณจะเลือกลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใด ขึ้นอยู่กับว่า คุณยอมรับความเสี่ยงได้มากเพียงใด การเพิ่มสกุลเงินดิจิทัลลงไปในพอร์ตการลงทุนของคุณก็อาจจะเป็นวิธีที่ดีในการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มความหลากหลาย อีกทั้งยังสามารถสร้างผลกำไรที่ดีกว่าได้ แต่ก็แลกมากับความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้น ในอีกทาง หุ้นก็สามารถให้ผลตอบแทนที่มั่นคงกว่าแก่คุณได้ แต่ก็อาจจะทำกำไรได้ไม่หวือหวาอย่างที่คุณต้องการ สุดท้ายแล้ว มนัก็ขึ้นอยู่กับความชื่นชอบและความต้องการของคุณ
ข้อจำกัดความรับผิด
ข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่บนเว็บไซต์ของเราเผยแพร่ด้วยเจตนาที่ดีและเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น การกระทำใด ๆ ที่ผู้อ่านดำเนินการตามข้อมูลที่พบบนเว็บไซต์ของเราถือเป็นความเสี่ยงของผู้อ่านโดยเฉพาะ Learn ให้ความสำคัญกับข้อมูลคุณภาพสูง เราอุทิศเวลาให้กับการแยกแยะ ค้นคว้า และสร้างเนื้อหาเพื่อการศึกษาซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน เพื่อเป็นการรักษามาตรฐานนี้และเพื่อสร้างเนื้อหาคุณภาพได้อย่างต่อเนื่อง พาร์ตเนอร์ของเราอาจตอบแทนเราด้วยค่าคอมมิชชั่นสำหรับการจัดวางตำแหน่งต่าง ๆ ในบทความของเรา อย่างไรก็ดี ค่าคอมมิชชั่นนี้ไม่มีผลต่อกระบวนการของเราในการสร้างเนื้อหาที่ไร้อคติ ตรงไปตรงมา และเป็นประโยชน์