Binance TH เป็นการร่วมมือกันระหว่าง Binance และ Gulf Innova บริษัทลูกของ Gulf Energy ในการเปิดกระดานซื้อขายคริปโตเคอเรนซี่ในประเทศไทย แต่มันมีข้อดีๆ ข้อเสียอะไรบ้างเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์ม Global?
หนึ่งในคำถามสำหรับนักเทรดและนักลงทุนหลายๆ คนคือ ความแตกต่างระหว่างสาขาไทย และ แพลตฟอร์ม Global วันนี้เราจะพามาสำรวจกันว่ามันมีข้อดีอะไรบ้าง แตกต่างจากแพลตฟอร์มบริษัทแม่อย่างไร และเหมาะกับใคร? หลังจากการเปิดตัวไปเมื่อต้นเดือน
ความน่าเชื่อถือและความมั่นคง
สิ่งที่เราให้ความสำคัญเป็นอย่างแรกเมื่อเลือกใช้งานกระดานซื้อขายคริปโตเคอเรนซี่ก็คือ ประเด็นความน่าเชื่อถือและความมั่นคง หลายๆ คนคงเคยมีบทเรียนกันมาบ้างแล้วกับการสูญเสียจากเหตุการณ์ FTX และ ZipMex ที่มีการบริหารงานที่ผิดพลาด
Binance Thailand ถือว่ามีความน่าเชื่อถือในประเทศไทยเพราะได้รับการรับรองจาก ก.ล.ต. ของประเทศไทย ในขณะที่สาขา Global ไม่ได้ถูกรับรองให้เป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างถูกต้องในประเทศไทย นี่ถือเป็นความแตกต่างประการแรก
ดังนั้นสำหรับสาขาประเทศไทยแล้ว จึงมีกระบวนการตรวจสอบและยืนยันตัวตนของผู้ใช้งานที่ต้องเป็นไปตามระเบียบของ ก.ล.ต. ประเทศไทย ทำให้มีความแตกต่างด้านการ KYC และการเปิดบัญชีอยู่บ้างดังต่อไปนี้
การเปิดบัญชีและยืนยันตัวตนบน Binance TH
ผู้ใช้งานสามารถเปิดบัญชีได้ที่หน้าเว็ปไซต์ Binance.th หรือจะผ่านบนแอปโทรศัพท์ก็ได้ หน้าตาของเว็ปไซต์จะมีความใกล้เคียงกับสาขา Global แต่จะมีบริการเป็น “ภาษาไทย” ทำให้สะดวกต่อการใช้งานสำหรับคนไทยโดยเฉพาะ
เมื่อกดลงทะเบียนเปิดบัญชีแล้ว ให้ผู้ใช้งานกรอกข้อมูลทั่วไปและยืนยันรหัสบนอีเมลที่ระบุไว้ หลังจาก Login ได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการ KYC ระบุตัวตนโดยการเข้าไปยังเมนู Identification รวมถงการติดตั้งระบบการรักษาความปลอดภัยของบัญชีผู้ใช้งาน เช่น 2FA หรือ ระบบ SMS
สำหรับการ KYC หน้าเว็ปไซต์จะนำคุณไปหน้าต่าง QR Code สำหรับการดาวโหลดแอปบนโทรศัพท์มือถือ ซึ่งสามารถใช้งานได้ทั้งบน Android และ iOS
เมื่อติดตั้งแอปแล้วให้เราเข้าไปที่การยืนยันตัวตนในแอปโทรศัพท์และเปิดการใช้งานระบบ 2FA หรือ SMS ซึ่งเป็นการบังคับตามมาตรการรักษาความปลอดภัย หลังจากติดตั้งและกรอกรหัสแล้วจะเข้าสู่กระบวนการ KYC
วิธีการ KYC
ขั้นตอนการ KYC หลังจากติดตั้งระบบการรักษาความปลอดภัยด้วย SMS แล้ว ผู้ใช้งานจำเป็นต้องอัปโหลดเอกสารและข้อมูลดังต่อไปนี้
1.อัปโหลดด้านหน้าและหลังของบัตรประชาชนไทย
2.ยืนยันข้อมูลบัตรประชาชน
3.ยืนยันตัวตนด้วยใบหน้า (*ยืนยันตัวตนได้ 5 ครั้งต่อวัน หากไม่สำเร็จต้องรอ 24 ชั่วโมง)
4.ยืนยันตัวตนด้วยระบบ NDID
5.กรอกแบบสอบถาม
6.ตั้งรหัส 6 หลักสำหรับล๊อคอินผ่านแอปโทรศัพท์
7.แบบประเมินความเสี่ยงและความรู้ในการลงทุน
การยืนยันตัวตนด้วย NDID
ในขั้นตอนเหล่านี้ การยืนยัน NDID อาจมีความยุ่งยากเล็กน้อยแต่ในปัจจุบันการให้บริการทางการเงินและการลงทุนส่วนใหญ่จำเป็นที่จะต้องทำตามระเบียบที่ถูกกำหนดไว้ ไม่ว่าจะเป็นโบรกเกอร์ซื้อขายหุ้น หรือกระดานซื้อขายคริปโตก็ตาม ดังนั่นเราจึงจะมาอธิบายเพิ่มเติม
ในการยืนยันตัวตนด้วยจะมีตัวเลือก 2 ทางเลือกได้แก่ NDID และ Dipchip ให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งก็เพียงพอ
1.ยืนยันผ่านแอปธนาคารบนมือถือ
วิธีการนี้เป็นวิธีที่รวดเร็วที่สุด แต่ก่อนที่เราจะเริ่มทำการ NDID ผู้ใช้งานควรตรวจสอบบัญชีธนาคารของตนเองก่อนว่า เปิดบริการ NDID ไว้หรือไม่
การสังเกตแบบง่ายๆ ก็คือ หากบัญชีของคุณเป็นบัญชีที่เพิ่งเปิดใหม่ ก็มักจะมีการเปิดระบบ NDID ไว้แล้วโดยทางธนาคาร โดยสรุปคือ หากทางธนาคารของคุณเคยให้คุณสแกนใบหน้าที่เค้าเตอร์ธนาคารมาแล้ว ก็แปลว่าคุณเปิดใช้บริการแล้ว
อย่างไรก็ตามคุณสามารถตรวจสอบการให้บริการได้ในแอปธนาคารของท่าน หรือติดต่อ Call Center เพื่อสอบถามก่อน เพราะหากคุณยังไม่ได้เปิดบริการ การยืนยันตัวตนจะไม่สำเร็จและคุณจำเป็นต้องรอการรีเฟรสในระบบอีก 1 ชั่วโมงก่อนจะเริ่มขอยืนยันได้อีกครั้ง
2.ยืนยันผ่านการ Dip Chip
การ Dip Chip เรียกง่ายๆ ก็คือการที่คุณนำบัตรประชาชนไปเสียบเครื่องสแกนของผู้ให้บริการ ซึ่งทางกระดานได้มีบริการผ่านทาง AIS หรือ ร้านเทลวิซ คุณต้องพกบัตรประชาชนติดตัวไปตามสาขาที่ให้บริการดังกล่าว สำหรับบริการนี้หากคุณกดเลือกวิธีการนี้แล้ว ระบบจะมีเวลาให้คุณ 24 ชั่วโมงในการไปยืนยัน ดังนั้นคุณควรกดขอยืนยันก็ต่อเมื่อวันน้นคุณสะดวกที่จะไปยืนยันตัวตนเท่านั้น
ฟีเจอร์ต่างๆ
ส่วนนี้เราจะพามาเปรียบเทียบฟังก์ชั่นต่างๆ บนสาขาไทยกันว่าแตกต่างอย่างไรก็ของแพลตฟอร์ม Binance Global บ้างและมีประโยชน์สำหรับนักลงทุนชาวไทยอย่างไรบ้าง
- ประเภทตลาดการซื้อขาย
สำหรับสาขาไทย ประเภทตลาดที่ให้บริการมีเพียง Spot Market เท่านั้น แต่จะมีบริการคู่ซื้อขายด้วย THB ได้โดยตรง 3 คู่สกุลเงินได้แก่ BTC/THB, ETH/THB, และ USDT/THB ให้บริการในปัจจุบัน โดยเลือกที่ EXCH แทน BRKR แทนในหน้าต่างตลาด
ส่วนหากคุณคุ้นเคยกับการซื้อขาย Altcoin อื่นๆ คุณสามารถซื้อขายด้วยคู่ USDT ได้ ซึ่งเหรียญที่คุณซื้อขายได้จะมีจำนวนตามแพลตฟอร์ม Global ข้อดีหนึ่งอย่างคือ “สภาพคล่องคู่ USDT เป็นสภาพคล่องเดียวกับของ Binance Global” ทำให้มีวอลลูมที่สูงและ Spread ระหว่างราคาที่ต่ำนั่นเอง จุดนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในข้อได้เปรียบที่สุดเมื่อเทียบกับคู่แข่งอื่นๆ ในประเทศไทย
- ฟีเจอร์ที่ขาดหายไป
หากคุณเคยใช้งานแพลตฟอร์ม Global แล้ว คุณอาจจะทราบว่าทางแพลตฟอร์มมีบริการต่างๆ มากมายทั้ง กระดาน Future, Options, Staking, Trading Bot, และ P2P บริการทั้งหมดเหล่านี้ยังไม่มีในสาขาไทย เนื่องจากกฎระเบียบในประเทศไทยยังไม่ชัดเจน
สรุป Binance TH เหมาะกับใคร
ดังที่กล่าวมานี้ กระดานสาขาไทยเหมาะสำหรับนักลงทุนชาวไทยที่ต้องการการรับรองจาก ก.ล.ต. และไม่ต้องการแบกรับความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ นอกจากนี้หากคุณซื้อขายเพียงเหรียญสกุลหลักอย่าง Bitcoin (BTC) และ Ethereum (ETH) คุณก็สามารถซื้อขายได้ด้วยเงินบาทโดยตรง ทำให้คุณไม่ต้องกังวลต่อความผันผวนด้านสกุลเงินดอลลาร์
สำหรับการซื้อขาย Altcoin ข้อดีของแพลตฟอร์มนี้คือ การใช้สภาพคล่องเดียวกับ Binance Global ทำให้การซื้อขายด้วยคู่เทรด USDT มีสภาพคล่องที่สูงและ Spread ต่ำ ทำให้เป็นทางเลือกที่ได้เปรียบกระดานคู๋แข่งเป็นอย่างมากอีกทั้งยังมีรายการเหรียญให้เลือกมากมายอีกด้วย
ข้อจำกัดความรับผิด
ข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่บนเว็บไซต์ของเราเผยแพร่ด้วยเจตนาที่ดีและเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น การกระทำใด ๆ ที่ผู้อ่านดำเนินการตามข้อมูลที่พบบนเว็บไซต์ของเราถือเป็นความเสี่ยงของผู้อ่านโดยเฉพาะ Learn ให้ความสำคัญกับข้อมูลคุณภาพสูง เราอุทิศเวลาให้กับการแยกแยะ ค้นคว้า และสร้างเนื้อหาเพื่อการศึกษาซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน เพื่อเป็นการรักษามาตรฐานนี้และเพื่อสร้างเนื้อหาคุณภาพได้อย่างต่อเนื่อง พาร์ตเนอร์ของเราอาจตอบแทนเราด้วยค่าคอมมิชชั่นสำหรับการจัดวางตำแหน่งต่าง ๆ ในบทความของเรา อย่างไรก็ดี ค่าคอมมิชชั่นนี้ไม่มีผลต่อกระบวนการของเราในการสร้างเนื้อหาที่ไร้อคติ ตรงไปตรงมา และเป็นประโยชน์