Trusted

Leverage คืออะไร?

8 mins
อัพเดทโดย Tanutcha Roongroj

เมื่อนักเทรดได้เริ่มก้าวเข้ามาสู่วงการนี้แล้ว หลายๆ ครั้งก็มักจะได้ยินหรือได้เห็นคำว่า “เลเวอเรจ” อยู่เสมอ แต่แท้จริงแล้ว มันหมายความว่าอย่างไร? หากคุณเป็นนักเทรดหน้าใหม่ที่อยากจะรู้ว่า Leverage คืออะไร? บอกเลยว่ามาถูกที่แล้ว! ในบทความนี้ เราจะมาเรียนรู้ไปพร้อมๆ กันว่า “Leverage” คืออะไร? ทำงานอย่างไร? และจะมีประโยชน์ต่อการเทรดของเราอย่างไร?

Leverage (เลเวอเรจ) คืออะไร?

เลเวอเรจ คือ

คำว่า “Leverage” หากจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ การใช้เงินจำนวนเล็กน้อยเพื่อเข้าถึงจำนวนเงินที่มากขึ้น — เปรียบเสมือนการ “ยืม” เงินมาจากโบรกเกอร์ — เพื่อที่คุณจะสามารถทำการซื้อสินทรัพย์ได้ในปริมาณที่สูงขึ้น ทำให้ความสามารถในการทำกำไรของคุณนั้นเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ถึงแม้ว่าคุณจะมีเงินลงทุนไม่มาก แต่ด้วยการใช้ประโยชน์จากค่า “เลเวอเรจ” คุณก็จะสามารถเพิ่มโอกาสในการทำกำไรจากการเทรดได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม Leverage ก็เป็นเหมือนดาบสองคมที่อาจจะให้ประโยชน์หรือโทษกับคุณก็ได้ ถึงแม้ว่ามันจะช่วยเพิ่มความสามารถในการลงทุนให้สูงขึ้นได้ แต่หากการลงทุนดังกล่าวไม่ได้เป็นไปในทิศทางที่คุณคาดการณ์เอาไว้ ความเสี่ยงในการขาดทุนก็จะเพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้น การเรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับ “เลเวอเรจ” ให้ถ่องแท้ถือเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในโลกของการเทรดในปัจจุบัน

Leverage ทำงานอย่างไร?

หลังจากที่เราได้เรียนรู้กันไปแล้วว่า “Leverage” คืออะไร ต่อไป เราจะมาดูกันว่า มันทำงานอย่างไร?

หัวใจสำคัญของค่า Leverage นั้นก็คือ การช่วยให้เราใช้เงินทุนที่น้อยลงเพื่อเปิดคำสั่งซื้อในปริมาณที่สูงขึ้นได้ โดยทั่วไปแล้ว ค่า Leverage จะถูกแสดงออกมาเป็นอัตราส่วน เช่น 1:10, 1:20, 1:50, 1:100 ฯลฯ โดยจะขึ้นอยู่กับประเภทของสินทรัพย์และนโยบายของโบรกเกอร์แต่ละเจ้า ตัวเลขอัตราส่วนดังกล่าวนั้นหมายความว่า เงินทุนของคุณทุกๆ 1 ส่วน จะสามารถ “ยืม” เงินทุนจากโบรกเกอร์มาเทรดได้เป็นจำนวน X เท่านั่นเอง

หมายเหตุ: ถึงแม้ว่าค่า Leverage จะเปรียบเสมือนการยืมเงินจากโบรกเกอร์เพื่อมาลงทุนในปริมาณที่สูงขึ้น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า โบรกเกอร์ให้คุณยืม “เงิน” จริงๆ แต่เป็นเพียงการขยายความสามารถในการซื้อขายโดยการใช้เงินทุนจริงๆ ของคุณเป็นหลักประกันเท่านั้น

ตัวอย่างของเงินลงทุนที่ 1,000 บาท

  • Leverage 1:10 — มูลค่าของธุรกรรมสูงสุดที่สามารถทำได้จะอยู่ที่ 10,000 บาท
  • Leverage 1:100 — มูลค่าของธุรกรรมสูงสุดที่สามารถทำได้จะอยู่ที่ 100,000 บาท
  • Leverage 1:200 — มูลค่าของธุรกรรมสูงสุดที่สามารถทำได้จะอยู่ที่ 200,000 บาท

หมายเหตุ: มูลค่าของธุรกรรมสูงสุดที่สามารถทำได้นั้นจะรวมกัน ไม่ว่าจะเทรดไม้เดียวหรือหลายไม้ก็ตาม

ตัวอย่างการใช้งาน

หากโบรกเกอร์ให้ Leverage แก่คุณที่ 1:10 หากคุณมีเงินทุนทั้งหมด 1,000 บาท คุณจะสามารถซื้อขายสินทรัพย์ได้ในมูลค่าที่เพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่า หรือก็คือ 1,000 x 10 = 10,000 บาทนั่นเอง

สมมุติว่าคุณมีเงินทุนอยู่ 1,000 บาท และคุณต้องการซื้อหุ้น A ที่ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 20 บาทต่อหุ้น หากคุณไม่ได้ใช้เลเวอเรจเลย คุณจะสามารถซื้อหุ้นได้ทั้งหมด 50 หุ้น (1,000/20) หมายความว่า เงินลงทุนทั้งหมดของคุณจะเท่ากับ 1,000 บาท

แต่หากโบรกเกอร์ให้ Leverage กับคุณที่ 1:10 หมายความว่า ด้วยเงินทุน 1,000 บาท คุณจะสามารถเปิดการซื้อขายที่มูลค่า 10,000 บาทได้ (10 เท่าของเงินทุน) เท่ากับว่าคุณได้ยืมเงินลงทุนมาจากโบรกเกอร์เป็นจำนวน 9,000 บาท และตอนนี้ คุณจะสามารถซื้อหุ้น A ได้ทั้งหมดเป็นจำนวน 500 หุ้น แทนที่จะเป็น 50 หุ้น ทั้งๆ ที่ใช้เงินลงทุนมูลค่า 1,000 บาทเท่ากัน!

ทีนี้ หุ้น A วิ่งขึ้นไป 10% จะเกิดอะไรขึ้น?

หากคุณเทรดโดยไม่ใช้เลเวอเรจ หุ้น A ของคุณจะมีมูลค่าเพิ่มเป็น 22 บาทต่อหุ้น โดยมีจำนวน 50 หุ้น ทำให้เงินลงทุนของคุณตอนนี้มีมูลค่าเท่ากับ 22 x 50 = 1,100 บาท เมื่อลบกับต้นทุนของคุณ หมายความว่าคุณจะได้กำไรทั้งหมด 1,100 – 1,000 = 100 บาท นั่นเอง

หากคุณเทรดโดยการใช้ Leverage ที่ 1:10 มูลค่าการลงทุนทั้งหมดของคุณจะเท่ากับ 22 x 500 = 11,000 บาท อย่างไรก็ตาม เมื่อหักลบกับเงินที่คุณยืมมาจากโบรกเกอร์เป็นจำนวน 9,000 บาท จะเท่ากับว่า คุณทำกำไรจากมูลค่าหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้นได้ที่ 11,000 – 9,000 = 2,000 บาท และเมื่อหักลบกับต้นทุนของคุณ หมายความว่าคุณจะได้กำไรทั้งหมด 2,000 – 1,000 = 1,000 บาท นั่นเอง

ในทางกลับกัน หากหุ้น A มีมูลค่าลดลง 10% สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ

หากคุณเทรดโดยไม่ใช้เลเวอเรจ หุ้น A ของคุณจะมีมูลค่าลดลงเป็น 18 บาทต่อหุ้น เงินลงทุนของคุณจะเหลือมูลค่า 18 x 50 = 900 บาท เท่ากับว่าคุณขาดทุนเป็นจำนวน 100 บาท

และหากคุณใช้ Leverage ที่ 1:10 มูลค่าการลงทุนทั้งหมดของคุณจะเท่ากับ 18 x 500 = 9,000 บาท และเมื่อหักลบกับค่า Leverage ที่คุณยืมมาจากโบรกเกอร์ (9,000 – 9,000) เท่ากับว่า คุณจะสูญเสียเงินทุนทั้งหมดของคุณทั้งหมด

ตัวอย่างเปรียบเทียบการเทรดโดยใช้และไม่ใช้ Leverage
ตัวอย่างเปรียบเทียบการเทรดโดยใช้และไม่ใช้ Leverage

จากตัวอย่างจะแสดงให้เห็นว่า ถึงแม้ว่าการใช้ Leverage จะช่วยเพิ่มผลกำไรให้กับคุณได้อย่างมหาศาล แต่มันก็จะเพิ่มความเสี่ยงให้กับคุณได้มหาศาลด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในกรณีที่คุณขาดการจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ Leverage ก็อาจจะส่งผลเสียอย่างร้ายแรงได้

“เลเวอเรจ” เท่าใดที่คุณควรเลือกใช้งาน

การเลือกใช้ค่า Leverage ที่เหมาะสมนั้นจะขึ้นอยู่กับความต้องการของนักเทรดแต่ละคน หากคุณเป็นนักเทรดที่รับความเสี่ยงแบบ High Risk High Return ได้ มีกลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสม และมีการจัดการความเสี่ยงในการลงทุนได้เป็นอย่างดี การใช้อัตรา Leverage ที่สูงขึ้นก็จะช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้กับคุณได้เป็นอย่างมาก แต่หากคุณเป็นนักเทรดที่ต้องการจำกัดความเสี่ยง การเทรดด้วย Leverage ต่ำๆ หรือไม่ใช้เลย ก็อาจจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่าก็เป็นได้

“Margin” กับ “Leverage” มีความสัมพันธ์กันอย่างไร?

Margin (มาร์จิ้น) นั้นก็เปรียบเสมือน “เงินหลักประกัน” ที่เราจะต้องจัดหามาตามสัดส่วนของ Leverage ที่เราเลือกใช้งาน หรือ พูดง่ายๆ ก็คือเงินที่คุณต้องมีในบัญชีเทรดซึ่งจะผกผันตามค่า Leverage ที่คุณเลือกใช้นั่นเอง

ตัวอย่างเช่น หากเราเลือกใช้งาน Leverage ที่ 1:50 ค่า Margin ที่ต้องใช้ก็คือ 1 ส่วน ต่อมูลค่าการเทรดด้วยเลเวอเรจ 50 บาท และหากเราต้องการเทรดหุ้น A ที่มูลค่า 50,000 บาท นั่นหมายความว่าคุณจะต้องมี Margin หรือ เงินที่ฝากเข้าไปในบัญชีเป็นจำนวน 50,000 / 50 = 1,000 บาท

ดังนั้น ยิ่งค่า Leverage ที่คุณเลือกใช้งานสูงเท่าไหร่ ค่า Margin ที่ต้องใช้ก็จะต่ำลงไปตามสัดส่วนเท่านั้น

ตัวอย่างของมูลค่าการเทรดที่ 100,000 บาท

  • Leverage 1:1 — Margin หรือ เงินในบัญชีเทรด ที่ต้องมีจะเท่ากับ 100,000 บาท
  • Leverage 1:10 — Margin หรือ เงินในบัญชีเทรด ที่ต้องมีจะเท่ากับ 10,000 บาท
  • Leverage 1:100 — Margin หรือ เงินในบัญชีเทรด ที่ต้องมีจะเท่ากับ 1,000 บาท

หากคุณต้องการที่จะเทรดในปริมาณที่สูงขึ้น (ในเลเวอเรจเท่าเดิม) Margin ที่คุณจะต้องใช้ก็จะเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน นั่นหมายความว่า คุณจะต้องเพิ่มเงินลงไปในบัญชีเพื่อเป็น “หลักประกัน” ให้กับโบรกเกอร์เพื่อเพิ่มความสามารถในการเทรดของคุณนั่นเอง

ข้อดีและข้อเสียของการใช้ Leverage ในการเทรด

ข้อดี

  • ทำการซื้อขายในปริมาณที่สูงขึ้นได้ — เนื่องจากคุณมีเงินทุนที่สามารถใช้งานได้มากกว่าเดิม คุณจะสามารถซื้อสินทรัพย์เป็นจำนวนมากกว่าเดิมได้ หรือ ซื้อสินทรัพย์ที่มีราคาสูงกว่าเดิมได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำกำไรให้กับคุณ
  • ช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรมากขึ้น — ก็เหมือนกับตัวอย่างที่เราได้อธิบายไป การใช้ Leverage ในการเทรดจะเพิ่มโอกาสที่คุณจะทำกำไรเพิ่มมากขึ้นได้
  • เป็นการใช้เงินทุนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด — การใช้ Leverage จะช่วยให้คุณใช้เงินทุนได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าคุณจะมีเงินทุนไม่มาก แต่คุณก็จะสามารถทำการซื้อขายในล็อตที่ใหญ่ขึ้นได้ ซึ่งเป็นการช่วยให้คุณเหลือเงินทุนที่อาจจะนำไปใช้ในโอกาสอื่นๆ ได้เพิ่มเติม

ข้อเสีย

  • เพิ่มความเสี่ยงที่คุณจะสูญเสียเงินลงทุน — ความเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ที่ไม่ได้เป็นไปตามที่คุณหวังไว้เพียงเล็กน้อย ก็อาจจะส่งผลให้คุณขาดทุนได้เป็นอย่างมาก ซึ่งอาจจะทำให้คุณถูกล้างพอร์ตในเวลาอันสั้นได้เลย
  • มีความเสี่ยงในการโดน Margin Call — ในการเทรดด้วยเลเวอเรจ คุณจะต้องรักษายอดเงินในบัญชีให้เพียงพอกับความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นอยู่เสมอ หากราคาของสินทรัพย์เคลื่อนไหวสวนทางคุณ และบัญชีของคุณมียอดเงินอยู่ต่ำกว่ามาร์จิ้นที่กำหนดไว้ คุณก็อาจจะถูก Margin Call ได้ ซึ่งคุณก็จำเป็นจะต้องฝากเงินเข้าไปในบัญชีเพิ่มเติม หรือ ปิด Position บางส่วนของคุณ (หรือทั้งหมด) เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนด ไม่เช่นนั้น คุณอาจจะถูกชำระบัญชีจากโบรกเกอร์ของคุณได้

Leverage Indicator

Leverage Indicator คือเครื่องมือที่ใช้สำหรับตรวจสอบระดับ Leverage ในปัจจุบันของบัญชีเทรดของคุณ ซึ่งจะแสดงผลบนหน้าจอโดยอัตโนมัติ และสามารถปรับแต่งเลย์เอ้าต์ได้ตามที่ต้องการ โดยตัวอินดิเคเตอร์นี้จะทำงานได้กับแพลตฟอร์ม Metatrader 4

Leverage Indicator คือเครื่องมือที่ใช้สำหรับตรวจสอบระดับ Leverage ในปัจจุบันของบัญชีเทรดของคุณ
ตัวอย่างการใช้งาน Leverage Indicator: Github.ForexNews

วิธีการติดตั้ง

  • โหลดไฟล์ Leverage indicator.ex4 จากที่นี่
  • นำไปใส่ในโฟลเดอร์ Indicators ของโปรแกรม MT4
  • รีเฟรชโปรแกรม MT4 หนึ่งครั้ง
  • จากนั้น ตัวอินดิเคเตอร์ก็จะปรากฏขึ้นมาในช่อง Indicators ให้เลือกใช้งานได้ทันที

สรุปส่งท้าย

โดยสรุปแล้ว Leverage ก็คือเครื่องมือที่จะช่วยขยายขอบเขตการลงทุน ทำให้เงินทุนของคุณเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และเพิ่มโอกาสในการกำไรอย่างมหาศาลให้กับเหล่านักเทรดได้ อย่างไรก็ดี ผลตอบแทนที่สูงก็มักจะมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงมากขึ้นเช่นกัน ดังนั้น สิ่งที่สำคัญก็คือ คุณจะต้องระมัดระวังในการเทรดด้วย Leverage และลดความเสี่ยงด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การเลือกใช้ค่าเลเวอเรจต่ำๆ หรือการตั้งค่า Stop Loss ให้เหมาะสม ก็จะช่วยลดโอกาสในการสูญเสียเงินลงทุนของคุณได้ไม่มากก็น้อย

แพลตฟอร์มคริปโตที่ดีที่สุดในไทย | กันยายน 2024
แพลตฟอร์มคริปโตที่ดีที่สุดในไทย | กันยายน 2024
แพลตฟอร์มคริปโตที่ดีที่สุดในไทย | กันยายน 2024

ข้อจำกัดความรับผิด

ข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่บนเว็บไซต์ของเราเผยแพร่ด้วยเจตนาที่ดีและเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น การกระทำใด ๆ ที่ผู้อ่านดำเนินการตามข้อมูลที่พบบนเว็บไซต์ของเราถือเป็นความเสี่ยงของผู้อ่านโดยเฉพาะ Learn ให้ความสำคัญกับข้อมูลคุณภาพสูง เราอุทิศเวลาให้กับการแยกแยะ ค้นคว้า และสร้างเนื้อหาเพื่อการศึกษาซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน เพื่อเป็นการรักษามาตรฐานนี้และเพื่อสร้างเนื้อหาคุณภาพได้อย่างต่อเนื่อง พาร์ตเนอร์ของเราอาจตอบแทนเราด้วยค่าคอมมิชชั่นสำหรับการจัดวางตำแหน่งต่าง ๆ ในบทความของเรา อย่างไรก็ดี ค่าคอมมิชชั่นนี้ไม่มีผลต่อกระบวนการของเราในการสร้างเนื้อหาที่ไร้อคติ ตรงไปตรงมา และเป็นประโยชน์

Akhradet-Mornthong-Morn.jpg
Akradet Mornthong
อัครเดช หมอนทอง เป็น นักแปล/นักเขียนคอนเทนต์ ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน NFT Games, Metaverse, AI, Crypto และเทคโนโลยีใหม่ๆ เขาจบการศึกษาในสาขาอังกฤษเพื่อการสื่อสารสากล และมีประสบการณ์ในการทำงานในวงการเกมมากกว่า 10 ปี เมื่อ NFT Games ได้กลายเป็นกระแสขึ้นมาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาก็ไม่พลาดที่จะก้าวเข้ามาในวงการนี้เพื่อศึกษาข้อมูลในเชิงลึกต่างๆ ของวงการ NFT รวมไปถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Blockchain และ Crypto อีกด้วย
READ FULL BIO
ได้รับการสนับสนุน
ได้รับการสนับสนุน