ภูมิทัศน์ทางการเงินทั่วโลกเริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้นตามกาลเวลา เริ่มตั้งแต่การจัดการของพื้นที่สินค้าโภคภัณฑ์ ไปจนถึง การดำดิ่งสู่โลกอันกว้างใหญ่ของอสังหาริมทรัพย์, ความร่วมมือกันของธุรกิจขนาดเล็ก, หรือแม้แต่สินทรัพย์ดิจิทัลเองก็ตาม โลกสมัยใหม่นี้สามารถรวมตัวเข้าด้วยกันได้ด้วย Financial Arrangements (การจัดการทางการเงิน) แต่ถึงกระนั้น มันก็ไม่เหมือนกันเสมอไป นี่คือจุดที่ Howey Test เข้ามาช่วย แล้ว Howey Test คืออะไร? มันคือสิ่งที่จะมาช่วยคุณในการคลี่คลายความคลุมเครือของเส้นแบ่งระหว่าง Investment Contracts (สัญญาการลงทุน) และ Financial Arrangements อื่นๆ
- จุดเริ่มต้นของ Howey Test: ประวัติ, ความสำคัญ และความเกี่ยวข้อง
- Howey Test: การทำความเข้าใจองค์ประกอบหลัก
- Howey Test มีความเกี่ยวข้องกับวงการคริปโตอย่างไร?
- Howey Test กับเครือข่าย Bitcoin
- Howey Test กับ Ethereum
- Howey Test กับ NFTs
- ข้อดีและข้อเสียของ Howey Test
- วิธีการตรวจสอบอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน
- Howey Test และความชัดเจนของคริปโต: อนาคตจะเป็นอย่างไร?
- คำถามที่พบบ่อย
เข้าร่วม BeInCrypto Trading Community บน Telegram: อ่านข่าวสารที่ร้อนแรงที่สุดในแวดวงคริปโต อ่านบทความวิเคราะห์ทางเทคนิคเกี่ยวกับเหรียญและสอบถามข้อมูลต่างๆ ที่คุณต้องการจากนักเทรดมืออาชีพ!
จุดเริ่มต้นของ Howey Test: ประวัติ, ความสำคัญ และความเกี่ยวข้อง
Howey Test คืออะไร? มันคือวิธีการในการแยกแยะว่ากิจกรรมการลงทุนใดๆ เป็นสัญญาการลงทุน (Investment Contract) หรือไม่? Howey Test ยังเป็นการระบุว่า “กิจกรรมการลงทุน“ ดังกล่าวนั้นมีคุณสมบัติตามกฏหมายหลักทรัพย์และพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ปี 1933 — ซึ่ง SEC (ก.ล.ต.) ได้กำหนดให้สิ่งเหล่านี้เป็นหลักทรัพย์ — หรือไม่
Howey Test ถือกำเนิดขึ้นในปี 1946 โดยเป็นผลลัพท์ที่เกิดขึ้นหลังจากคดีของ SEC กับ W.J. Howey Co. ซึ่งมีข้อมูลทางคดีดังนี้:
บริษัท W.J Howey Co. เป็นเจ้าของสวนส้มในรัฐฟลอริดา ได้แบ่งขาย “ที่ดินบางส่วน” ให้กับนักลงทุน อีกทั้ง ยังมีการเสนอสัญญาการให้บริการให้กับนักลงทุน โดยบริษัท W.J. Howey Co. จะช่วยจัดการ, เพาะปลูก, และขายส้มเหล่านี้ให้ในนามของนักลงทุน และจะแบ่งผลกำไรส่วนหนึ่งให้กับพวกเขา สิ่งหนึ่งที่ต้องรู้ก็คือส้มไม่ได้เป็นสาระสำคัญในเรื่องนี้ แต่สิ่งที่เป็นสาระสำคัญในคดีความนี้ก็คือการที่ “สัญญาการลงทุน” ระหว่าง W.J. Howey Co. และผู้ลงทุนถือได้ถือว่าเป็น “หลักทรัพย์” ในกรณีนี้
เกิดอะไรขึ้นในคดีความนี้?
ก.ล.ต. หรือ “สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์” (SEC หรือ the Securities and Exchange Commission) ได้ระบุว่า กิจกรรมการลงทุนที่เกิดขึ้น เป็น “สัญญาการลงทุน” โดยมีเงื่อนไขดังนี้:
- เป็นการลงทุนด้วยเงิน (นักลงทุนจ่าย ”เงิน” ซื้อที่ดินบางส่วนจาก W.J. Howey Co.)
- เป็นการลงทุนกับองค์กรธุรกิจทั่วไป (นักลงทุนลงทุนกับ W.J. Howey Co.)
- เป็นการลงทุนที่นักลงทุนมีการคาดหวังถึงผลกำไร (นักลงทุนคาดหวังผลกำไรจาก W.J. Howey Co.)
- ผลกำไรมาจากการทำงานของคนอื่น (ผลกำไรมาจากการดำเนินการของ W.J. Howey Co.)
จากการที่ศาลฎีกามีความเห็นไปทางเดียวกับ ก.ล.ต. มันได้ก่อให้เกิดกรอบการทำงานที่ชัดเจนสำหรับหน่วยงานกำกับดูแลในการตรวจสอบสัญญาการลงทุนทุกฉบับในภายหลัง
ดังนั้น Howey Test เป็นสิ่งที่ช่วยให้หน่วยงานกำกับดูแล, ผู้ประกอบการ, หรือแม้แต่นักลงทุนสามารถตรวจสอบได้ว่า สัญญาการลงทุนที่พวกเขามีส่วนร่วมปฏิบัติตามกฎหมายหลักทรัพย์ปี 1933 และพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ปี 1934 หรือไม่ หากสัญญาการลงทุนผ่าน Howey Test และถือว่าเป็นหลักทรัพย์ การเปิดเผยข้อมูล, การปฏิบัติตามข้อกำหนด, และข้อมูลการจดทะเบียนเฉพาะก็จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เกิดความครบถ้วนบริบูรณ์
ความเกี่ยวข้องของ Howey Test
ตราสารทางการเงินในสมัยใหม่นั้นมีความซับซ้อน จากการที่ VDAs (Virtual Digital Assets) ใหม่ๆ และ ICO ของพวกเขาเกิดขึ้นแทบจะวันเว้นวัน กรอบการตรวจสอบความเป็น “หลักทรัพย์” ของ Howey Test จึงมีความสำคัญมากขึ้นในปี 2023
ลองนึกภาพของเด็กที่เปิดแผงขายน้ำมะนาวโดยการรวบรวมเงินจากเพื่อนๆ (เด็กคนอื่นๆ) ที่ต้องการผลกำไรมากขึ้นเมื่อแผงขายน้ำมะนาวเริ่มเป็นที่นิยม ณ จุดนี้ ผู้ใหญ่ได้เข้ามาช่วยทุกคนโดยการตั้งกฏพิเศษบางข้อเพื่อช่วยให้สามารถเคลื่อนย้ายเงินทุนและผลตอบแทนต่างๆ ได้อย่างยุติธรรม
Howey Test ก็เปรียบเสมือน “กฏพิเศษ” ดังกล่าวและเป็นสิ่งที่สำคัญที่ช่วยให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง (โดยจะโฟกัสในเรื่องสัญญาการลงทุนโดยเฉพาะ) สามารถทำความเข้าใจกับกฏเกณฑ์เพื่อที่จะทำการตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น
Howey Test: การทำความเข้าใจองค์ประกอบหลัก
ดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ Howey Test เปรียบเสมือนกรอบการทำงานที่จะช่วยให้ฝ่ายนิติบัญญัติสามารถตรวจสอบได้ว่า สัญญาการลงทุนใดๆ เป็นไปตามกฎหมายหลักทรัพย์ของรัฐบาลกลางและมีคุณสมบัติเป็นหลักทรัพย์หรือไม่ และเพื่อการนั้น มันจะมีเงื่อนไขอยู่ 4 ประการที่สัญญาจะต้องปฏิบัติตาม:
- จะต้องมีการลงทุนด้วยเงิน
- จะต้องมีองค์กรธุรกิจทั่วไปที่เป็นผู้ที่จัดการเงิน
- จะต้องมีการคาดหวังผลกำไร
- จะต้องมีโอกาสที่จะได้รับผลกำไรจากความพยายามของผู้อื่น
ในข้อที่ 2 “Common Enterprise” (หรือ องค์กรธุรกิจทั่วไป) จะมีการตีความ 2 แบบ หนึ่งก็คือ “Horizontal Commonality” (การเชื่อมโยงทรัพย์สินของนักลงทุนแต่ละคนเข้ากับนักลงทุนคนอื่นๆ ผ่านการรวมสินทรัพย์ ซึ่งมักจะรวมเข้ากับการกระจายผลกำไรตามสัดส่วน) สิ่งนี้จะถือว่าโปรเจกต์เป็น “Common Enterprise” หากนักลงทุนแต่ละคนได้รวมเงินทุนและผลกำไรที่เกี่ยวข้องเข้าไว้กับโปรเจกต์เดียวกัน
แบบที่สองคือ “Vertical Commonality” (การมุ่งเน้นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนักลงทุนและผู้ก่อการ ซึ่งต้องการให้มีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันของทรัพย์สินของทั้งนักลงทุนและผู้ก่อการ) ซึ่งจะกำหนดให้นักลงทุนแบ่งปันทั้งผลตอบแทนและความเสี่ยงไปพร้อมๆ กัน หรือมีการพึ่งพาอาศัยผู้ก่อการ
และเนื่องจากลักษณะการกระจายอำนาจของคริปโต มันทำให้คริปโตส่วนใหญ่นั้นแทบจะไม่เป็นไปตามกฏในข้อกำหนดในข้อที่ 2 แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ ก.ล.ต. คิด!
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเงื่อนไขของ Howey ล้มเหลว?
หากลบเงื่อนไขหนึ่งออกจากสถานะของกิจการใดๆ สามารถช่วยตัดสินได้ว่า กิจกรรมการลงทุนนั้นๆ เป็น ของสะสม, ของขวัญ, สินค้า, หรือแม้แต่ บริการ, ผลิตภัณฑ์, หรือการสมัครสมาชิก
เมื่อขาดการลงทุนด้วยเงิน มันจะมีสถานะเป็น ของขวัญ หรือ การบริจาค
เมื่อขาด “องค์กรธุรกิจทั่วไป” กิจกรรมเหล่านั้นอาจจะถูกจัดเป็นการกระจายอำนาจ
เมื่อขาดการคาดหวังผลกำไร มันจะมีสถานะเป็น ผลิตภัณฑ์ หรือ การสมัครสมาชิก
และเมื่อตัดเรื่องความพยายามของผู้อื่นออกไป มันก็จะมีสถานะเป็น สินค้าโภคภัณฑ์
ในการพิจารณาว่าตราสารการลงทุนเป็นหลักทรัพย์หรือไม่? เงื่อนไขทั้งหมดของโครงสร้างของ Howey Test จะต้องถูกตรวจสอบ สินทรัพย์หรือสัญญาการลงทุนจะมีคุณสมบัติเป็นหลักทรัพย์ก็ตามเมื่อเงื่อนไขทั้ง 4 นั้นถูกเติมเต็ม
กลับไปที่ตัวอย่าง “แผงขายน้ำมะนาว”
ตอนนี้ เราจะกลับไปดูกันที่ตัวอย่างเรื่อง “แผงขายน้ำมะนาว” เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Howey Test และเงื่อนไขทั้ง 4 ของมัน
สมมุติว่ากลุ่มเพื่อน — Bob, Alice และ Carol — ตั้งแผงขายน้ำมะนาวเหมือนที่เราเคยได้คุยกันไว้ พวกเขารวมเงินลงทุนและทำงานร่วมกันเพื่อจัดเตรียมและขายน้ำมะนาว ซึ่งเราจะเปรียบเทียบมันกับโครงสร้างของ Howey Test
- การลงทุนด้วยเงิน: เพื่อนทั้ง 3 คนรวมเงินกันเพื่อซื้อมะนาวและแก้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน นี่เป็นการตรวจสอบในเงื่อนไขแรก
- องค์กรธุรกิจทั่วไป: เพื่อนๆ ในตัวอย่างด้านบนทุกคนทำงานร่วมกัน โดยมีร้านน้ำมะนาวเป็นกิจการทั่วไป เงื่อนไขที่ 2 ถูกเติมเต็ม
- ความคาดหวังในผลกำไร: เพื่อนๆ ทุกคนต้องการสร้างรายได้จากกิจการแผงขายน้ำมะนาวของพวกเขา ดังนั้น เงื่อนไขข้อที่ 3 ก็ผ่าน
- ผลกำไรจากความพยายามของผู้อื่น: Alice, Bob, หรือแม้แต่ Carol ต่างก็มีส่วนร่วมทั้งการลงเงินและลงแรง ดังนั้น ผลกำไรเหล่านี้จึงมาจากความพยายามของพวกเขาเอง ไม่ใช่จาก ความพยายามของผู้อื่น แต่ลองนึกภาพว่าหาก Jack เพื่อนคนที่ 4 ก้าวเข้ามาลงเงินให้กับโปรเจกต์เท่านั้น แต่ไม่ได้มีการลงแรงใดๆ การเตรียมการทางการเงินของ Jack นั้นจึงมีคุณสมบัติเป็นหลักทรัพย์
และนั่นก็คือการยกตัวอย่างโครงสร้างของ Howey Test ออกมาเป็นหัวข้อต่างๆ เพื่อช่วยให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
Howey Test มีความเกี่ยวข้องกับวงการคริปโตอย่างไร?
โลกแห่งคริปโตนั้นเต็มไปด้วยโทเค็น สินทรัพย์ และสถานการณ์ที่หลากหลาย ดังนั้น การประเมินสถานการณ์คริปโตใดๆ ตามโครงสร้างของ Howey Test จะแล้วแต่กรณีไป คริปโตที่มีการกระจายอำนาจอย่างเพียงพอซึ่งถูกใช้เป็นส่วนกลางในการแลกเปลี่ยนและไม่ได้มีการระดมทุนด้วยการขายโทเค็น/เหรียญ (ICOs) อาจจะไม่ถือว่าเป็นหลักทรัพย์ตามโครงสร้างของ Howey Test
อย่างไรก็ตาม มีคริปโตอยู่บางส่วนที่ทำให้ SEC (ก.ล.ต.) พิจารณาว่าบางโปรเจกต์มีคุณสมบัติเป็นการลงทุนตามโครงสร้างของ Howey หรือไม่ ต่อไปนี้คือสิ่งที่ทำให้เกิดข้อกังวลที่มักจะต้องมีการตรวจสอบโดยละเอียด:
- โปรเจกต์ที่ใช้ ICOs เพื่อการระดมทุน
- ข้อเสนอด้านหลักทรัพย์ที่แสดงถึงความเป็นเจ้าของและการพึ่งพาอาศัยโทเค็นกับบริษัทใดบริษัทหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ
- ส่วนแบ่งกำไรที่เป็นส่วนหนึ่งของกลไกการขายโทเค็น ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับการรับโทเค็นสภาพคล่องเมื่อคุณใช้โทเค็นที่มีอยู่เพื่อเข้าร่วมในการขุดสภาพคล่อง
- การกำกับดูแลแบบรวมศูนย์ในกรณีของโปรเจกต์ที่มีการยอมรับไม่มาก หรือ คริปโตแบบ PoS บางตัวที่มีส่วนกลางในการจัดการสินทรัพย์ที่ Staking ไว้เป็นจำนวนมาก
- อิทธิพลของผู้ก่อการที่สำคัญ
ยังมีข้อกังวลอื่นๆ อยู่บ้างเล็กน้อย แต่ปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นเป็นปัจจัยที่ถูกใช้ในการตรวจสอบของ Howey Test ต่อไป เราลองมาตรวจสอบสินทรัพย์เสมือนจริงดิจิทัลกับโครงสร้างของ Howey Test เพื่อทำความเข้าใจว่า SEC มีมุมมองอย่างไร
Howey Test กับเครือข่าย Bitcoin
นี่คือวิธีการตรวจสอบเครือข่าย Bitcoin ตามโครงสร้างของ Howey Test:
เงื่อนไขที่ 1: การซื้อ BTC จากกระดานเทรดนั้นสามารถทำได้ ดังนั้น มันจึงมีความรู้สึกของการเป็นการลงทุนอยู่ถึงแม้ว่าจะเป็นสกุลเงินที่มีการกระจายอำนาจก็ตาม
เงื่อนไขที่ 2: ไม่มี Common Enterprise เนื่องจาก BTC มีการกระจายอำนาจอย่างเพียงพอ ไม่มีบริษัทใดที่ดูแลและจัดการ Bitcoin
เงื่อนไขที่ 3: มีความคาดหวังผลกำไรอยู่บ้างเนื่องจากความเป็นสินทรัพย์ที่ใช้สะสมมูลค่าของมัน อีกทั้ง ผู้คนต่างก็ทำการซื้อขาย BTC ดังนั้น เงื่อนไขที่ 3 จึงผ่าน
เงื่อนไขที่ 4: ไม่มีรูปแบบการสร้างรายได้แบบพาสซีฟ (Passive Income) เหมือนการ Staking นักขุดหรือโหนดทั้งหมดที่ต้องการรับ BTC หรือรางวัลจะต้องทำงานในลักษณะเดียวกันในแบบกระจายอำนาจ ดังนั้น เงื่อนไขที่ 4 จึงไม่ผ่าน
ตามโครงสร้างของ Howey Test นั้น Bitcoin ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบทั้ง 4 เงื่อนไข ดังนั้น มันจึงไม่ถือว่าเป็นหลักทรัพย์ Jay Clayton อดีตประธาน SEC ยังได้ระบุไว้ในปี 2018 ว่า Bitcoin ไม่ใช่หลักทรัพย์
Howey Test กับ Ethereum
เครือข่าย Ethereum ซึ่งได้เปลี่ยนจากการเป็น PoW ไปเป็น PoS ได้จุดประเด็นการพูดคุยเรื่องการเป็นหลักทรัพย์และ Howey Test ขึ้นมา นี่คือสถานะปัจจุบันของเงื่อนไขต่างๆ ที่ถูกนำเข้ามาตรวจสอบ:
เงื่อนไขที่ 1: รูปแบบของการลงทุนยังคงไม่เปลี่ยนแปลงเนื่องจากเหรียญดั้งเดิมของ Ethereum หรือ ETH สามารถซื้อขาย หรือ Stake เพื่อรับผลตอบแทนจากการลงทุนได้ ดังนั้น Ethereum จึงมีคุณสมบัติเป็นการลงทุน
เงื่อนไขที่ 2: การตีความทั้ง Horizontal (การรวมเงินทุน) และ Vertical (บทบาทของผู้สนับสนุน) เป็นสิ่งที่ทำให้แน่ใจได้ว่าปัจจัยของ Common Enterprise ไม่ได้รับการเติมเต็ม
เงื่อนไขที่ 3 และ 4: ความคาดหวังของผลกำไรยังคงมีอยู่ แต่ไม่ใช่มาจากความพยายามของผู้อื่นๆ ผู้ตรวจสอบความถูกต้องที่ได้รับรางวัลยังคงต้องทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะมีคุณสมบัติดังกล่าว ดังนั้น ผลกำไรที่มาจากความพยายามของตนเองจึงปัดตกเงื่อนไขที่ 4 ลงไป
โดยรวมแล้ว Ethereum PoS ไม่มีคุณสมบัติเป็นหลักทรัพย์และอาจจะไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายหลักทรัพย์และพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ปี 1933
Howey Test กับ NFTs
มันมีความคลุมเครืออยู่มากเมื่อทำการประเมิน NFTs ด้วยโครงสร้างของ Howey Test เนื่องจาก หากพิจารณาว่า NFT เป็นผลงานศิลปะ มันก็อาจจะไม่มีคุณสมบัติในการตรวจสอบด้วย Howey Test ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
- พวกมันสามารถถูกมิ้นต์ได้ (ไม่ได้เป็นการลงทุนเสมอไป)
- NFT มีความเกี่ยวข้องกับเครือข่ายแบบกระจายอำนาจ (ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของของสะสมแบบรวมศูนย์เสมอไป)
- อาจจะไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำเพื่อผลกำไรเสมอไป (รูปโปรไฟล์ NFT, โดเมน ENS และอื่นๆ อีกมากมาย)
นอกจากนี้ เฉพาะการขาย NFT ที่ได้ตั้งให้มอบค่าสิทธิการขายมือสองให้กับคุณเท่านั้นที่เงื่อนไข “กำไรที่ได้มาจากผู้อื่น” จะเข้ามามีบทบาท
โดยรวมแล้ว NFTs ส่วนใหญ่ไม่ผ่านเงื่อนไขส่วนมากของ Howey Test อย่างไรก็ตาม การประเมินเหล่านี้ยังคงจะต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไป
บริษัทคริปโตทั้งหลายควรจะคำนึงถึงเรื่องใดบ้าง?
ในกรณีที่ประเภทการลงทุนหรือสินทรัพย์มีคุณสมบัติเป็นหลักทรัพย์ บริษัทอาจจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้:
- แสดงรายการข้อมูลการลงทะเบียนอย่างละเอียดและเป็นไปตามกฏระเบียบ
- เปิดเผยข้อมูลต่อนักลงทุน
- การปฏิบัติตามกฎการซื้อขาย, หน่วยงานกำกับดูแล, และข้อกำหนดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมหลักทรัพย์
- การปฏิบัติตามข้อกำหนด AML และ KYC
- ให้การคุ้มครองนักลงทุน
- มีการตลาดและการส่งเสริมการขายที่ถูกต้องตามกฏระเบียบ
เมื่อดูจากการที่มีหลายๆ ส่วนที่จะต้องทำให้ครอบคลุม มันจึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าทำไมการนำเอา Howey Test มาใช้งานกับคริปโตจึงมักจะได้รับเสียงต่อต้าน
ข้อดีและข้อเสียของ Howey Test
ข้อดี
- ให้การคุ้มครองนักลงทุน
- ถูกต้องตามกฎหมายของพื้นที่นั้นๆ
- มีความชัดเจนด้านกฎระเบียบ
- อำนาจที่มากขึ้นต่อมุมมองที่เฉพาะเจาะจงของบล็อกเชนและผู้สร้าง
ข้อเสีย
- เป็นการยับยั้งนวัตกรรม
- ความเสี่ยงของการควบคุมดูแลมากจนเกินพอดี
- มีความคลุมเครือในการใช้งานเนื่องจากมีคริปโตอยู่มากมายหลายประเภท
- ตัวแปรสากลใน “แท็กหลักทรัพย์”
วิธีการตรวจสอบอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน
เพื่อให้เข้าใจถึงข้อเสียของการทดสอบ Howey ได้ดียิ่งขึ้น ต่อไปนี้เป็นวิธีการตรวจสอบอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันคุณควรจะทราบไว้ (ถึงอย่างไรก็ตาม Howey Test ยังคงได้รับความที่นิยมมากที่สุด)
1. The Reves Test
คล้ายกับกรณีของ EC กับ W.J. Howey Co. วิธีการนี้เกิดจากคดีของ Reves vs. Ernst & Young ซึ่งมีอยู่ 4 เงื่อนไข ได้แก่: แรงจูงใจของผู้ซื้อ-ผู้ขาย, แผนการจัดจำหน่าย, ความคาดหวังของนักลงทุน และการมีอยู่ของตัวเลือกที่ช่วยปกป้องนักลงทุน
2. The “Gary Plastic” Test
การทดสอบนี้จะสอดคล้องกับคดีความของ SEC กับ Gary Plastic Packaging มันเป็นวิธีการประเมินว่า สิ่งที่ไม่ได้เป็นหลักทรัพย์ ณ ช่วงเวลาใดๆ สามารถถูกพิจารณาเป็นหลักทรัพย์ได้หรือไม่? นอกจากนี้ พารามิเตอร์นั้นรวมถึง การทำการตลาดและการส่งเสริมการขาย, การมีอยู่ของพื้นที่การซื้อขายทั่วไป, และความคาดหวังของนักลงทุน
3. The Risk Capital Test
ประเภทการประเมินนี้เป็นที่นิยมใช้ในศาลของสหรัฐฯ เพื่อพิจารณาว่าการลงทุนเป็นหลักทรัพย์หรือไม่ ตัวชี้วัดที่ใช้จะเกี่ยวข้องกับ ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน, การควบคุมดูแลของนักลงทุนในบริษัท, และความเสี่ยงด้านเงินทุนที่เกิดจากความพยายามของผู้อื่น
และในขณะที่การทดสอบเหล่านี้จำกัดอยู่เฉพาะในประเทศสหรัฐฯ ประเทศเศรษฐกิจอื่นๆ ก็มีโครงสร้างการตรวจสอบของตนเองเพื่อตรวจสอบว่าการลงทุนอาจจะเป็นหลักทรัพย์หรือไม่ สิ่งเหล่านี้รวมถึง Markets in Financial Instruments Directive สำหรับสหภาพยุโรป, หน่วยงานกำกับดูแลตลาดการเงินของประเทศสวิตเซอร์แลนด์, Pacific Coin Test ของประเทศแคนาดา และอื่นๆ อีกมากมาย
Howey Test และความชัดเจนของคริปโต: อนาคตจะเป็นอย่างไร?
เราคงได้คำตอบแล้วว่า Howey Test คืออะไร? แต่สรุปแล้ว มันมีความหมายอย่างไรต่ออนาคตของคริปโต? ในขณะที่ Howey Test และเงื่อนไขทั้ง 4 ถูกใช้ในการกำหนดแนวทางการกำกับดูแลสำหรับตราสารทางการเงิน รวมถึง คริปโต มันก็ยังเหมาะสมกับการลงทุนและตราสารแบบดั้งเดิมอีกด้วย
ในโลกแห่งอุดมคติ Howey Test จะช่วยในการกำหนดกฎเกณฑ์ข้อบังคับ พร้อมทั้งทำให้รู้ถึงลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ของคริปโต นอกจากนี้ การทำงานร่วมกันและการเจรจาระหว่างธุรกิจ ผู้บริโภค และหน่วยงานกำกับดูแล ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับทุกฝ่าย เพื่อใช้มันในการเข้าสำรวจขอบเขตที่ซับซ้อนของสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างประสบความสำเร็จ
คำถามที่พบบ่อย
องค์ประกอบ 4 อย่างของ Howey Test คืออะไร?
คริปโตเคอร์เรนซี่ผ่านการทดสอบ Howey Test หรือไม่?
การไม่ผ่านการทดสอบ Howey Test หมายความว่าอย่างไร?
ทำไม Bitcoin จึงไม่ถือเป็นหลักทรัพย์?
Ethereum ผ่าน Howey Test หรือไม่?
ข้อจำกัดความรับผิด
ข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่บนเว็บไซต์ของเราเผยแพร่ด้วยเจตนาที่ดีและเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น การกระทำใด ๆ ที่ผู้อ่านดำเนินการตามข้อมูลที่พบบนเว็บไซต์ของเราถือเป็นความเสี่ยงของผู้อ่านโดยเฉพาะ Learn ให้ความสำคัญกับข้อมูลคุณภาพสูง เราอุทิศเวลาให้กับการแยกแยะ ค้นคว้า และสร้างเนื้อหาเพื่อการศึกษาซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน เพื่อเป็นการรักษามาตรฐานนี้และเพื่อสร้างเนื้อหาคุณภาพได้อย่างต่อเนื่อง พาร์ตเนอร์ของเราอาจตอบแทนเราด้วยค่าคอมมิชชั่นสำหรับการจัดวางตำแหน่งต่าง ๆ ในบทความของเรา อย่างไรก็ดี ค่าคอมมิชชั่นนี้ไม่มีผลต่อกระบวนการของเราในการสร้างเนื้อหาที่ไร้อคติ ตรงไปตรงมา และเป็นประโยชน์