Forex คือ “ตลาดซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระดับโลก” ซึ่งได้รับความนิยมจากเหล่านักลงทุนมาอย่างยาวนาน ทุกคนต่างมุ่งเข้ามายังตลาดแห่งนี้เพื่อทำการเก็งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงินต่างๆ ในปัจุบัน ต้องขอบคุณเทคโนโลยีต่างๆ ที่ช่วยให้เทรดเดอร์ทุกคนสามารถเข้าถึงและมีโอกาสในการสร้างผลกำไรจากตลาด Forex ได้ง่ายมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่า โอกาสในการทำกำไรก็มักจะมาพร้อมกับความเสี่ยงต่างๆ ในบทความนี้ เราจะมาดูกันว่าหากต้องการ “เริ่มต้นเทรด Forex แบบมือใหม่” เราจะต้องมีการเตรียมตัวอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะช่วยให้คุณสามารถเริ่มต้นการเดินทางเข้าสู่ตลาด Forex ได้อย่างราบรื่นและปราศจากความเสี่ยง ถ้าพร้อมแล้ว ไปกันเลย!
อยากเทรด Forex จะเริ่มต้นได้อย่างไร
Forex หรือ Foreign Exchange Market คือ ตลาดซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่เหล่าผู้เข้าร่วมตลาดจะทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินของประเทศต่างๆ เพื่อทำกำไรจากส่วนต่างของค่าเงิน ซึ่งอาจจะเปลี่ยนแปลงด้วยปัจจัยต่างๆ อาทิเช่น อัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย การเมือง เศรษฐกิจ หรือ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นต้น
สำหรับมือใหม่ที่ต้องการจะเริ่มต้นเทรด Forex สิ่งที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ การศึกษาข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับตลาด Forex เบื้องต้น เช่น คำศัพท์ต่างๆ, คู่เงินที่คุณต้องการจะเทรด, โบรกเกอร์ Forex ที่เชื่อถือได้ ฯลฯ จากนั้น เมื่อคุณเริ่มที่จะมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการเทรด Forex แล้ว จึงค่อยเริ่มศึกษาเกี่ยวกับกลยุทธ์การเทรดต่างๆ, การเลือกใช้อินดิเคเตอร์ที่เหมาะสมกับกลยุทธ์ของคุณ, เรียนรู้วิธีการจัดการความเสี่ยง เป็นต้น
การเทรด Forex ออนไลน์
ในปัจุบัน เทคโนโลยีต่างๆ ได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตลาด Forex กลายเป็นตลาดการเงินที่เข้าถึงได้ง่ายมากๆ นักลงทุนไม่จำเป็นที่จะต้องไปที่หน้าเคาท์เตอร์ธนาคาร หรือ ร้านรับแลกเปลี่ยนสกุลเงินเพื่อทำการซื้อขายอีกแล้ว แต่ทุกคนสามารถทำการสมัครบัญชีกับโบรกเกอร์ต่างๆ โหลดโปรแกรมเทรดที่รองรับ แล้วก็เริ่มการเทรดแบบออนไลน์กันได้เลย
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่ากระบวนการต่างๆ จะสามารถทำได้อย่างง่ายดาย แต่การศึกษาข้อมูลต่างๆ อย่างละเอียดก่อนที่จะเริ่มต้นทำการเทรดก็ถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ตัวอย่างเช่น โปรแกรมที่นิยมใช้ในการเทรด Forex อย่าง MT4 และ MT5 ก็จะตอบสนองต่อความต้องการของเทรดเดอร์ที่แตกต่างกันออกไป
โปรแกรมเทรด Forex
โดยทั่วไปแล้ว โปรแกรมเทรด Forex ที่โบรกเกอร์ส่วนใหญ่แนะนำจะมีหลักๆ อยู่ 2 ตัว ได้แก่ MT4 (MetaTrader 4) และ MT5 (MetaTrader 5) เนื่องจากโปรแกรม Meta Trader คือโปรแกรมเทรด Forex ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะว่าใช้งานได้ง่ายและมีเครื่องมือต่างๆ รองรับมากมาย
สิ่งหนึ่งที่เทรดเดอร์หน้าใหม่มักจะเข้าใจผิดก็คือ MT5 เป็นเวอร์ชั่นอัพเกรดของ MT4 อันที่จริงแล้ว MT4 และ MT5 เป็นเวอร์ชั่นที่แตกต่างกันออกไป ไม่ได้เป็นเวอร์ชั่นที่ดีกว่าของกันและกันแต่อย่างใด แต่ทั้ง 2 โปรแกรมถูกออกแบบมาให้สามารถรองรับเทรดเดอร์ที่มีความต้องการที่แตกต่างกัน
Meta Trader 4
MT4 เป็นโปรแกรมเทรด Forex ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ซึ่งเปิดตัวในปี 2005 มันถูกออกแบบมาให้รองรับการซื้อขายในตลาดฟอเร็กซ์โดยเฉพาะ (อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน MT4 ก็รองรับการซื้อขายสินทรัพย์อื่นๆ ด้วย เช่น หุ้น ดัชนี สินค้าโภคภัณฑ์ผ่าน CFDs) MT4 เป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะกับมือใหม่ เนื่องจากมีอินเตอร์เฟสที่เข้าใจได้ง่าย ไม่ซับซ้อน และยังสามารถปรับแต่งได้ตามสไตล์ที่ผู้ใช้งานต้องการอีกด้วย
Meta Trader 5
MT5 เป็นโปรแกรมเทรดที่ถูกออกแบบมาให้รองรับสินทรัพย์ต่างๆ มากยิ่งขึ้น เช่น ฟอเร็กซ์, หุ้น, ฟิวเจอร์, ออปชั่น, พันธบัตร เป็นต้น นอกจากนี้ MT5 ยังมีคุณสมบัติต่างๆ ที่เหนือกว่า MT4 อยู่พอสมควร เช่น กรอบเวลาที่รองรับ (MT5 21 Timeframe / MT4 9 Timeframe), ปฏิทินเศรษฐกิจในตัว (MT4 ไม่มี), ประเภทคำสั่งที่รอการดำเนินการ (MT5 6 ประเภท / MT4 4 ประเภท) ฯลฯ ด้วยเหตุนี้ MT5 จึงเป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการคุณสมบัติต่างๆ เพิ่มเติม เพื่อช่วยให้สามารถทำการเทรดขั้นสูงได้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
วิธีการดูกราฟ Forex
สำหรับพื้นฐานในการดูกราฟ Forex เมื่อเปิดแพลตฟอร์มเทรดที่คุณเลือกใช้งานขึ้นมาแล้ว (ในตัวอย่างของเรา เราจะเลือกใช้งาน Meta Trader 4) เบื้องต้น สิ่งที่คุณจะต้องให้ความสำคัญหลักๆ มีอยู่ 5 ส่วน ดังนี้:
1. Symbol
ในส่วนของ Symbol ก็คือ คู่สกุลเงินต่างๆ ที่มีให้บริการบนแพลตฟอร์มเทรด เมื่อทำการเลือกไปที่คู่สกุลเงินดังกล่าว เราก็จะสามารถเลือกเปิดหน้าต่างกราฟราคา (Chart Window) ของคู่สกุลเงินนั้นๆ ขึ้นมาได้ โดยคู่สกุลเงินที่ได้รับความนิยมในการเทรด Forex ได้แก่
- EUR/USD (ยูโร/ดอลลาร์สหรัฐ)
- USD/JPY (ดอลลาร์สหรัฐ/เยนญี่ปุ่น)
- GBP/USD (ปอนด์อังกฤษ/ดอลลาร์สหรัฐ)
- AUD/USD (ดอลลาร์ออสเตรเลีย/ดอลลาร์สหรัฐ)
2. Chart Window
หากผู้ใช้งานทำการเปิดหน้าต่างกราฟราคาของคู่สกุลเงินต่างๆ ขึ้นมาหลายคู่ คุณสามารถเปลี่ยนไปดูคู่สกุลเงินอื่นๆ ได้ด้วยการคลิกแท็บด้านล่างนี้ หรือ สามารถย่อกรอบของหน้าต่างให้เล็กลงเพื่อดูพร้อมๆ กันหลายตัวก็สามารถทำได้เช่นกัน
3. Timeframe
Timeframe หรือ กรอบเวลา จะเป็นการแสดงข้อมูลของราคาในช่วงระยะเวลาที่เรากำหนดไว้ เช่น
- M1 — กราฟแท่งเทียน 1 แท่งจะเทียบเท่ากับเวลา 1 นาที
- M30 — กราฟแท่งเทียน 1 แท่งจะเทียบเท่ากับเวลา 30 นาที
- H1 — กราฟแท่งเทียน 1 แท่งจะเทียบเท่ากับเวลา 1 ชั่วโมง
- D1 — กราฟแท่งเทียน 1 แท่งจะเทียบเท่ากับเวลา 1 วัน
- W1 — กราฟแท่งเทียน 1 แท่งจะเทียบเท่ากับเวลา 1 สัปดาห์
ในการเทรด Forex หากเราต้องการตรวจสอบประวัติราคาหรือวางกลยุทธ์ในระยะยาว เราก็ควรที่จะเลือกกรอบเวลาที่นานขึ้น เพื่อที่จะได้มองภาพรวมในระยะยาวได้ดียิ่งขึ้น หรือ หากเราต้องการเทรดในระยะสั้น การดูกรอบเวลาในระยะที่สั้นลง ก็จะช่วยให้คุณทำการเทรดได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น
4. Indicators
Indicators (อินดิเคเตอร์) คือ เครื่องมือที่จะช่วยเราในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจ ผู้ใช้งานจะสามารถเลือกปรับใช้งาน Indicators ต่างๆ จากที่แพลตฟอร์มมีให้เลือกใช้งานมากมาย เช่น Moving Average (MA), Relative Strength Index (RSI), Bollinger Bands ฯลฯ หรือ สามารถดาวน์โหลด Custom Indicators ที่มีการปรับแต่งไว้แล้วมาเพื่อใช้งานได้เช่นกัน
5. Price Chart
ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่เราทำตั้งแต่ข้อ 1-4 จะมาปรากฏที่ข้อ 5 นี้ ซึ่งก็คือ กราฟราคา (Price Chart) ของคู่สกุลเงินที่เราเลือกเทรด โดยทั่วไปแล้ว เราจะสามารถดูกราฟราคาได้ 3 รูปแบบ ได้แก่:
- Bar Chart — กราฟที่แสดงข้อมูลราคาในอดีต โดยจะมีราคาเปิด, ราคาปิด, ราคาสูงสุด, ราคาต่ำสุด โดยจะไม่มีแท่ง มีเพียงขีดที่แสดงให้เห็นว่า ราคาเปิดปิดที่เท่าไหร่
- Candlestick Chart — กราฟที่แสดงข้อมูลราคาในอดีตเช่นเดียวกับ Bar Chart แต่จะมีตัวแท่งเทียนด้วย ทำให้สามารถวิเคราะห์ราคาได้สะดวกและแม่นยำมากยิ่งขึ้น Candlestick Chart หรือ กราฟแท่งเทียน เป็นกราฟที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
- Line Chart — กราฟที่จะแสดงข้อมูลราคาปิดเพียงอย่างเดียว จึงเป็นรูปแบบกราฟที่ไม่ค่อยจะได้รับความนิยมซักเท่าไหร่
เทรด Forex ทำกำไรอย่างไร?
การคำนวนผลกำไรของการเทรด Forex จะคำนวนโดยการใช้ค่า Pip (Price Interest Point) ซึ่งก็คือ การนับค่าจุดทศนิยมตัวสุดท้าย (ตำแหน่งที่ 4 สำหรับคู่สกุลเงินทั่วไป หรือตำแหน่งที่ 2 ในกรณีของคู่สกุลเงิน JPY) เช่น สมมุติว่า ราคาของคู่เงิน EUR/USD อยู่ที่ 1.4451 หากเราทำการซื้อ (Buy) แล้วมูลค่าของคู่เงิน EUR/USD ขยับขึ้นไปอยู่ที่ 1.4551 แล้วเราก็ปิดออเดอร์นี้ นั่นหมายความว่า เราทำกำไรได้ทั้งหมด 100 Pip นั่นเอง
แล้ว 1 Pip มีมูลค่าเท่าใด? สำหรับวิธีการคำนวนมูลค่าต่อ Pip มันอาจจะแตกต่างกันไปตามประเภทบัญชี, คู่สกุลเงินที่ทำการซื้อขาย, ขนาดล็อตของคุณ เป็นต้น
วิธีที่ดีที่สุดที่จะสามารถคำนวนมูลค่าต่อ Pip ได้ คือ การไปที่เว็บไวต์ของโบรกเกอร์ที่คุณเลือกใช้งาน มองหาเครื่องมือในการช่วยคำนวนค่า Pip เช่น เครื่องคิดเลขการเงิน ของโบรกเกอร์ Exness จากนั้น กรอกข้อมูลคำสั่งซื้อขายของคุณลงไปให้เรียบร้อย ระบบก็จะคำนวนมูลค่าต่อ Pip ให้กับคุณ
จากรูปจะเห็นได้ว่า เมื่อขนาดล็อตของเราอยู่ที่ 0.01 มูลค่าต่อ Pip ของเราจะอยู่ที่ 0.1 USD นั่นหมายความว่า หากเราทำการเทรดได้กำไร 100 Pip ก็จะเท่ากับว่าเราทำกำไรได้ 0.1 x 100 = 10 USD นั่นเอง
ในทางกลับกัน ในบัญชีของโบรกเกอร์ XM ซึ่งเป็นบัญชี Standard เช่นกัน แต่เนื่องจากขนาดล็อตในบัญชีของ XM เท่ากับ 1 มูลค่าต่อ Pip ของเราจะอยู่ที่ 10 USD นั่นหมายความว่า หากเราทำการเทรดได้กำไร 100 Pip ก็จะเท่ากับว่าเราทำกำไรได้ 1 x 100 = 100 USD นั่นเอง
ในปัจจุบัน โบรกเกอร์ชั้นนำต่างๆ จะมีเครื่องมือต่างๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเรามากมาย และการใช้เครื่องคำนวนของโบรกเกอร์ที่เราใช้งานอยู่จะทำให้เราได้รับความสะดวกสบายมากที่สุด ไม่ต้องมานั่งยุ่งยากทำการคำนวนมูลค่าแบบเดิมๆ อีกต่อไป
เทรด Forex โบรกไหนดี?
หากคุณยังเป็นมือใหม่ และยังไม่แน่ใจว่าจะ เริ่มต้นเทรด Forex กับโบรกเกอร์ไหนนี้ นี่คือองค์ประกอบที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกโบรกเกอร์ Forex ได้ดียิ่งขึ้น
- เลือกโบรกเกอร์ที่มีหน่วยงานกำกับดูแล — โบรกเกอรที่ดีและน่าเชื่อถือจะต้องมีใบอนุญาตที่ได้รับมาจากหน่วยงานกำกับดูแลต่างๆ ในระดับสากล เช่น ASIC (Australian Securities and Investments Commission), CySEC (Cyprus Securities and Exchange Commission), FCA (Financial Conduct Authority) เป็นต้น
- สามารถฝากและถอนเงินได้อย่างรวดเร็วและสะดวกสบาย — อีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญคือ ความสะดวกสบายในการฝากและถอนเงินจากบัญชีของคุณ ให้เลือกโบรกเกอร์ที่คุณสามารถฝากและถอนเงินได้ตามที่คุณต้องการ เช่น การโอนเงินผ่านธนาคาร, การใช้บัตรเครดิต เป็นต้น นอกจากนี้ ให้พิจารณาถึงเรื่องความรวดเร็วและค่าธรรมเนียมต่างๆ ในการฝากหรือถอนเงินด้วยเช่นกัน
- มีรายละเอียดต่างๆ แจ้งไว้อย่างชัดเจน — โบรกเกอร์ที่มีการแจ้งรายละเอียดต่างๆ ไว้อย่างชัดเจน เช่น ประเภทของบัญชี, ค่าสเปรด, เลเวอเรจสูงสุดที่สามารถใช้ได้, ล็อตเทรดขั้นต่ำ, ค่าธรรมเนียมในการเทรด, ค่าสวอป ฯลฯ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกใช้งานบัญชีเทรดแต่ละประเภทได้อย่างเหมาะสม
- มีการสนับสนุนลูกค้าเป็นอย่างดี — คุณคงไม่ต้องการที่จะมืดแปดด้านเมื่อเจอกับปัญหาในการเทรด Forex ใช่หรือไม่ การมีการสนับสนุนลูกค้าที่ดีจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ช่องทางต่างๆ ในการสนับสนุนลูกค้าก็ควรที่จะมีให้เลือกหลากหลาย เช่น เช่น Live Chat, Ticket, Help Center เป็นต้น
- สิทธิประโยชน์อื่นๆ — ให้ลองตรวจสอบสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่มีให้กับผู้ใช้งาน เช่น โบนัสฝากเงินครั้งแรก โบนัสการฝากเงินเป็นระดับขั้น หรือ กิจกรรมแข่งขันชิงรางวัลต่างๆ สิทธิประโยชน์เหล่านี้จะช่วยให้คุณได้รับผลกำไรมากขึ้น นอกเหนือจากผลกำไรจากการเทรดของคุณ
หากคุณยังไม่แน่ใจว่าจะเลือกใช้งานโบรกเกอร์ Forex รายใด เราขอแนะนำให้คุณลองอ่านบทความ “เทรด Forex โบรกไหนดี?” ของเรา ซึ่งได้รวบรวมรายชื่อของโบรกเกอร์ Forex ที่ดีที่สุดมาไว้ให้คุณได้เลือกใช้งานเรียบร้อยแล้ว
มือใหม่เรื่องการเทรด Forex เราควรใช้กลยุทธ์แบบไหนดี?
สำหรับมือใหม่ที่อยาก เริ่มต้นเทรด Forex สิ่งหนึ่งที่คุณจะต้องทำความเข้าใจก็คือ การเทรด Forex ก็คือการซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ดังที่เราได้กล่าวไว้ข้างต้น มันมีปัจจัยต่างๆ ที่จะทำให้คู่สกุลเงินที่คุณเลือกเทรดนั้นเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งได้ เช่น การประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ, ภาพรวมทางเศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศ หรือ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของสกุลเงินนั้นๆ การศึกษาข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณมองเห็นถึงแนวโน้มของการเคลื่อนไหวของราคาได้ ขึ้นอยู่กับว่าข้อมูลดังกล่าวมีความรุนแรงและส่งผลต่อสภาพเศรษฐกิจแค่ไหน
อีกหนึ่งแนวทางก็คือ การวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น การวิเคราะห์รูปแบบกราฟ, การมองหารูปแบบการกลับตัวของแท่งเทียน, หรือ การมองหาสัญญาณ Golden Cross ด้วยการใช้เส้น MA เป็นต้น นอกจากนี้ การใช้งานอินดิเคเตอร์ต่างๆ ก็จะช่วยให้คุณเข้าใจสภาพของตลาดได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น แต่การวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้นอาจจะต้องใช้เวลาในการศึกษาข้อมูลลงลึกอยู่บ้าง เราขอแนะนำให้คุณลองเลือกกลยุทธ์ที่คุณคิดว่าเหมาะกับคุณ หรือ ต้องการลองใช้ดู มาหนึ่งกลยุทธ์ แล้วค่อยทำการศึกษาและ Backtesting (การดึงข้อมูลย้อนหลังเพื่อทดสอบกลยุทธ์) ด้วยกลยุทธ์เหล่านั้นอีกที
นอกจากนี้ สำหรับมือใหม่แล้ว การใช้งานบัญชีทดลองเทรด หรือ บัญชี Demo คือสิ่งที่สำคัญที่สุด เนื่องจากมันจะช่วยให้คุณทำการทดลองเทรดได้โดยไม่ได้ต้องเอาเงินทุนอันมีค่าของคุณไปเสี่ยง โบรกเกอร์ชั้นนำเกือบทุกรายมักจะมีบัญชีทดลองให้เลือกใช้งานอยู่แล้ว อย่าลืมลองใช้งานมันดูนะ!
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเทรด Forex
การเทรด Forex ถูกกฏหมายหรือไม่?
เริ่มต้นเทรด Forex ใช้ทุนเริ่มต้นเท่าไหร่?
มีโบรกเกอร์ Forex ของไทยหรือไม่?
ข้อจำกัดความรับผิด
ข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่บนเว็บไซต์ของเราเผยแพร่ด้วยเจตนาที่ดีและเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น การกระทำใด ๆ ที่ผู้อ่านดำเนินการตามข้อมูลที่พบบนเว็บไซต์ของเราถือเป็นความเสี่ยงของผู้อ่านโดยเฉพาะ Learn ให้ความสำคัญกับข้อมูลคุณภาพสูง เราอุทิศเวลาให้กับการแยกแยะ ค้นคว้า และสร้างเนื้อหาเพื่อการศึกษาซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน เพื่อเป็นการรักษามาตรฐานนี้และเพื่อสร้างเนื้อหาคุณภาพได้อย่างต่อเนื่อง พาร์ตเนอร์ของเราอาจตอบแทนเราด้วยค่าคอมมิชชั่นสำหรับการจัดวางตำแหน่งต่าง ๆ ในบทความของเรา อย่างไรก็ดี ค่าคอมมิชชั่นนี้ไม่มีผลต่อกระบวนการของเราในการสร้างเนื้อหาที่ไร้อคติ ตรงไปตรงมา และเป็นประโยชน์