Risk to Reward Ratio (RRR) หรือ “อัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยง” เป็นเครื่องมือในการวางแผนเพื่อควบคุมความเสี่ยงในการลงทุนและกลยุทธ์ที่สำคัญ แต่เราควรจะใช้มันอย่างไรดีให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด
คุณอาจเคยได้ยินคำว่า “พอร์ตแตก” กันมาบ้างแล้ว นั่นเป็นเพราะนักเทรดมีการควบคุมความเสี่ยงที่ไม่ดี และเครื่องมือที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ก็คือ “อัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยง” เพื่อพิจารณาว่าหากเทรดผิดทางจะเสียหายเท่าไหร่ และคุ้มแค่ไหนหากราคาเคลื่อนที่ไปตามที่คาดหวัง
Risk to Reward Ratio (RRR) คืออะไร
“อัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยง” หรือที่บางคนอาจเรียกสั้นๆ ว่า R:R คือ สัดส่วนเปรียบเทียบความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินกับผลตอบแทนที่อาจเกิดขึ้น โดยเทียบ ความเสี่ยง (Risk) ว่าเป็นกี่เท่าของผลตอบแทน (Return)
ความสำคัญของ RRR
RRR ทำให้คุณเห็นภาพล่วงหน้าคร่าวๆ เกี่ยวกับแผนการเทรดของคุณ ว่าความเสียหายและโอกาสทำกำไรอยู่ที่เท่าไหร่ ต่อการเทรด 1 ครั้ง และเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักเทรดทุกสาย ทั้ง Scalper, Swing Trader, และ Day Trader
1.เห็นภาพรวมของกลยุทธ์
ยกตัวอย่างเช่น หากกลยุทธ์ของคุณมีโอกาสชนะ 50% แต่ R:R ของคุณต่ำกว่า 1 นั่นหมายความว่ากลยุทธ์ของคุณล้มเหลว เพราะเมื่อเทรดผิดทางคุณเสียหายมากกว่าเวลาเทรดถูกทางนั่นเอง
2.เทรดได้อย่างเป็นระบบวัดผลกลยุทธ์
หลังจากนักลงทุนพิจารณาอัตราส่วนอย่างสมเหตุสมผลหรือตามกลยุทธ์ที่วางไว้แล้ว ว่า R:R สูงกว่า 1 และมีโอกาสชนะมากกว่า 50% นักลงทุนควรตั้ง Stop Loss และ Take Profit ณ ราคาที่กำหนดไว้ตามแผน เพื่อทำให้กลยุทธ์ของคุณกลายเป็นระบบเทรดที่วัดผลได้ มีการควบคุมความเสี่ยง และมีประสิทธิภาพนั่นเอง
Risk Reward Ratio คำนวณอย่างไร
RRR = (ราคาที่ TP – ราคาจุดที่เข้า) / (ราคาจุดที่เข้า – ราคาที่ SL)
หากพูดให้เข้าใจง่าย วิธีการคำนวณคือ การนำกำไรที่คาดหวังมาหารด้วยการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น หากเราซื้อหุ้น A ที่ราคา 120 บาท ที่แนวรับ โดยคาดว่าราคาจะถึงแนวต้านถัดไปที่ 150 บาท ซึ่งเป็นจุด Take Profit หากผิดทางราคาจะทะลุแนวรับโดยเราตั้ง Stop Loss เผื่อไว้ให้ทำงานที่ราคา 100 บาท
การคำนวณอัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยง RRR = (150-120) / (120-100) = 1.5 หรืออัตราส่วน 1.5 : 1 นั่นเอง
การพิจารณา Risk to Reward Ratio อย่างสมเหตุสมผล
สิ่งที่มักเกิดขึ้นกับนักเทรดมือใหม่ คือการตั้ง R:R ที่ไม่สมเหตุสมผลหรือ Bias เช่น การเชื่อว่าราคาจะพุ่งสูงเกินกว่าที่ควรจะเป็น เช่นการตั้ง R:R = 1: 20 หรือตั้ง Stop Loss ใกล้เกินกว่าความผันผวนที่แท้จริงทำให้โดน Stop ก่อนที่ราคาจะกลับตัว
นักเทรดจึงควรทดสอบกลยุทธ์ก่อนที่จะพิจารณา R:R ว่ามีความเป็นไปได้เท่าใด เช่น หากเราตั้ง R:R 1:20 แต่โอกาสที่จะเกิดขึ้นมีเพียง 1 ใน 100 เทรด พอร์ทของเราก็คงจะแตกเสียก่อน
ในเบื้องต้นอย่างน้อยนักเทรดควรมีกลยุทธ์ไว้อ้างอิง เช่น Elliot Wave, Bollinger Band, หรือจะเป็นหลักคิดง่ายๆ อย่าง Dow Theory และ แนวรับแนวต้าน ก็ได้ เช่น ซื้อที่แนวรับ ขายที่แนวต้านถัดไป เพื่อให้การวางกลยุทธ์และ R:R สมเหตุสมผล
ตัวอย่าง
ยกตัวอย่างการใช้ Bollinger Band (BB) ควบคู่ไปกับแนวคิด Demand & Supply Zone ดังภาพด้านเรา เราสามารถเปิดสถานะซื้อที่เส้นกลางของ BB หลังจากมีการย่อตัวลงมาดังในภาพ โดยเราคาดว่าเทรนฟื้นตัว (Rebound) กำลังเกิดขึ้นและอาจขึ้นไปทดสอบที่แนวต้านถัดไป ซึ่งเป็นจุด Take Profit (TP) ส่วน Stop Loss (SL) เราตั้งไว้ใต้แนวรับเล็กน้อย ของ Swing Low เก่า
จากการพิจารณาแล้ว R:R จะอยู่ที่ 1.79 ซึ่งนับว่าไม่แย่นัก แต่เราต้องทราบด้วยว่ากลยุทธ์นี้จะต้องมี Win Rate หรือโอกาสการชนะกี่เปอร์เซ็นจึงจะมีกำไร
คำนวณ Win Rate
1 หารด้วย 1+RRR
จากตัวอย่างข้างต้นสมการของเราจะได้ 1 / (1+1.78) = 0.36 นั่นหมายความว่ากลยุทธ์นี้จะต้องมีอัตราการชนะอย่างน้อย 36% จึงจะเท่าทุน และมากกว่า 36% จึงจะมีกำไร นักลงทุนสามารถนำกลยุทธ์ไป Backtest และพิจารณาดูอีกครั้งได้เช่นกัน
Expected Value ของกลยุทธ์
นักลงทุนสามารถหา อัตรากำไรและขาดทุนที่คาดหวัง (Expected Value) เพื่อนำมาพิจารณาว่ากลยุทธ์นี้กำไรหรือไม่ “ในเชิงภาพรวมเชิงสถิติ”โดยการนำกำไรเฉลี่ยและขาดทุนเฉลี่ยมาคิด เช่น หากกลยุทธ์ข้างต้นเราได้เก็บข้อมูลมาแล้ว ว่า กำไรโดยเฉลี่ยเราอยู่ที่ 0.5% และขาดทุนอยู่ที่ราว 0.3% ส่วน Win Rate = 40% (0.4) และ Lose Rate = 60% (0.6)
Expected Value ของกลยุทธ์ = (0.40 x 0.5) – (0.60 x 0.3) = 0.02 เมื่อตัวเลขเป็นบวกนั่นหมายความว่า กลยุทธ์เราทำกำไรได้ ภายใต้สถิติข้างต้น กลยุทธ์ของเราคาดว่าจะทำกำไรได้ “เฉลี่ย” 0.02% ต่อการเทรด
วิธีคำนวณ Position Sizing ที่จะเปิด
ขั้นตอนต่อไปคือการคำนวณ “Position Size” ที่เหมาะสม เช่น จากตัวอย่างที่แล้วหากเราเปิดสถานะด้วยเงินทั้งพอร์ทแล้วกำไร พอร์ทเราจะโตราว 0.50% หากผิดทางจะเสีย 0.30% แต่ในตลาด Future หรือ Leverage Market ที่นักเทรดสามารถใช้อัตราทดได้ นักเทรดสามารถเพิ่มหรือลดความเสี่ยงได้ยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น
สำหรับมือใหม่เราอาจเริ่มต้นด้วยการกำหนดความเสียหายกรณีผิดทางไว้ที่ 1% ต่อการเทรด 1 ครั้งของพอร์ท เช่นหากเรามีเงิน 100 USD เรายอมขาดทุน 1 USD เราสามารถเพิ่มอัตราทดได้ 3 เท่า หรือ 3X ด้วยตลาด Future ได้
ทำให้สถานะที่เปิดมีมูลค่า 300 บาท เมื่อราคาร่วง 0.30% จะถูกทดเป็น 0.90% หรือเสียหาย 0.90% ณ จุด SL ซึ่งมีมูลค่า 0.9 USD จากตอนแรกเราจะขาดทุนเพียง 0.30 USD แต่หากกำไรเมื่อราคาโตขึ้น 0.50% จะถูกทดเป็น 1.5% ทำให้เรากำไร 1.5 USD จาก 0.5 USD ในตอนแรกนั่นเอง
สรุปเกี่ยวกับ Risk to Reward Ratio (RRR)
Risk to Reward (RRR) เป็นเครื่องมือในการวางแผนกลยุทธ์ เพื่อพิจารณาความคุ้มค่าในการทำกำไรต่อความเสี่ยง อีกทั้งยังทำให้นักเทรดวางแผนควบคุมความเสียหายของพอร์ทได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นนักเทรดสาย Scalper, Swing Trader, และ Day Trader การควบคุมความเสี่ยงล้วนจำเป็นทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม การพิจารณา RRR ควรจะเป็นไปอย่างสมเหตุสมผล นักเทรดอาจอิงกลยุทธ์ต่างๆ เช่น Elliot Wave, Bollinger Band, หรือ Demand & Supply Zone ในการวางแผน
ข้อจำกัดความรับผิด
ข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่บนเว็บไซต์ของเราเผยแพร่ด้วยเจตนาที่ดีและเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น การกระทำใด ๆ ที่ผู้อ่านดำเนินการตามข้อมูลที่พบบนเว็บไซต์ของเราถือเป็นความเสี่ยงของผู้อ่านโดยเฉพาะ Learn ให้ความสำคัญกับข้อมูลคุณภาพสูง เราอุทิศเวลาให้กับการแยกแยะ ค้นคว้า และสร้างเนื้อหาเพื่อการศึกษาซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน เพื่อเป็นการรักษามาตรฐานนี้และเพื่อสร้างเนื้อหาคุณภาพได้อย่างต่อเนื่อง พาร์ตเนอร์ของเราอาจตอบแทนเราด้วยค่าคอมมิชชั่นสำหรับการจัดวางตำแหน่งต่าง ๆ ในบทความของเรา อย่างไรก็ดี ค่าคอมมิชชั่นนี้ไม่มีผลต่อกระบวนการของเราในการสร้างเนื้อหาที่ไร้อคติ ตรงไปตรงมา และเป็นประโยชน์