Trusted

ทฤษฎี Wyckoff คืออะไร? มาทำความเข้าใจทฤษฏีการเทรดคริปโตนี้กัน

24 mins
อัพเดทโดย Apinat Phosuwan

ในการเทรดคริปโต การเสี่ยงสวนเทรนด์ไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่ดีเสมอไป นักเทรดที่ดีนั้นมักจะไหลไปตามเทรนด์ ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์ขาขึ้นหรือขาลงก็ตาม นักเทรดที่เชี่ยวชาญจะจับตามองความเคลื่อนไหวของราคาในกรอบอยู่เสมอเพื่อที่จะเพิ่มผลกำไรให้มากที่สุด และกลยุทธ์ดังกล่าวนั้นเป็นหัวใจสำคัญของรูปแบบ Wyckoff ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญของ “ทฤษฎี Wyckoff” ที่โด่งดังนั่นเอง

ในบทความนี้ เราจะมาถอดรหัสรูปแบบ Wyckoff ในแต่ละช่วงให้กับคุณ โดยจะอธิบายถึงโครงสร้างของตลาดที่จะนำไปสู่รูปแบบ Wyckoff จากนั้น เราก็จะลงลึกถึงรายละเอียดในแต่ละช่วง ซึ่งจะครอบคลุมทั้งในเรื่องการวิเคราะห์ทางเทคนิคและกลยุทธ์การเข้าสู่ตลาด และนี่คือทุกสิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับนวัตกรรมที่ถูกสร้างขึ้นโดย Richard Wyckoff

หัวข้อต่างๆ ในบทความ

BeInCrypto Trading Community บน Telegram: พูดคุยกันเกี่ยวกับแนวโน้มของตลาด รับชมคอร์สพื้นฐานการซื้อขายฟรี และสอบถามข้อมูลต่างๆ ที่คุณต้องการจากนักเทรดมืออาชีพ!

มาเข้าร่วมกันเลย!

การทำความเข้าใจรูปแบบ Wyckoff: มันง่ายกว่าที่คุณคิด

ทฤษฎี Wyckoff

“ทฤษฎี Wyckoff” สำหรับการเทรดคริปโตคือสิ่งที่เรียบง่ายแต่ซับซ้อนในการคาดการณ์ความเคลื่อนไหวของตลาด ทฤษฎี Wyckoff ถือเป็นวิธีที่ดีสำหรับการทำความเข้าใจ Trading Ranges (ช่วงการเทรดในกรอบราคา) ซึ่งแตกต่างจากวิธีการตรวจสอบการกลับตัวของราคาและการเคลื่อนไหวตามเทรนด์

ทฤษฏีการเทรดนี้จะใช้การพิจารณาตลาดในมุมมองที่กว้างขึ้นในแง่ของอุปสงค์/อุปทานและราคา/ปริมาณการซื้อขาย ซึ่งจะช่วยให้เราเข้าใจการเคลื่อนไหวของราคาที่อาจจะซ่อนอยู่ใน Trading Ranges หรือกระทั่งใน Whipsaws (ช่วงที่ราคาในกรอบราคามีความผันผวนอย่างมากและเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ) เองก็ตาม

นอกจากนี้ วิธีการนี้ยังช่วยแบ่งสถานะการเทรดและวัฏจักรของราคาออกมาเป็นช่วงๆ ซึ่งจะช่วยให้นักเทรดสามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในอนาคตได้ โดยวัฏจักรราคา Wyckoff ทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 4 ช่วง ได้แก่ ระยะสะสม (Accumulation Phase), ระยะการเพิ่มขึ้น (Markup Phase), ระยะแจกจ่าย (Distribution Phase) และ ระยะการลดลง (Markdown Phase)

ระยะสะสม (Accumulation Phase) คืออะไร?

ระยะแรกนี้จะเกี่ยวข้องกับกลุ่ม “Smart Money” กลุ่มนักลงทุนที่รอบรู้และมีประสบการณ์ที่ทำการซื้อสะสมคริปโตหรือกลุ่มสินทรัพย์ใดๆ

ในระยะนี้ มันจะดูเหมือนว่ามี Trading Range โผล่ขึ้นมาหลังจากที่ราคาลดลงอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ดูเหมือนเป็นกรอบราคาสำหรับนักเทรดหรือนักลงทุนทั่วไป ที่จริงแล้วมันเป็นพื้นที่ที่เหล่าผู้ประกอบการหรือกลุ่ม Smart Money เริ่มที่จะทำการซื้อสะสม

ดังนั้น “ระยะสะสม” คือการซื้อขายในกรอบราคาในช่วงที่ตลาดเป็นขาลงหรือมีความเชื่อมั่นในเชิงลบ กลุ่มนักลงทุน Smart Money จะจำแนกได้ถึงมูลค่าที่ต่ำเกินกว่าที่จะเป็นของสินทรัพย์ในระยะสะสมนี้และทำการเข้าซื้อเป็นระยะๆ

ท้ายที่สุด ราคาก็จะลงไปถึงแนวรับ (เนื่องจากแรงซื้อที่หนักหน่วงแต่ไม่ต่อเนื่อง) และจะเริ่มการเทรดแบบ Sideways (ช่วงที่ราคาของสินทรัพย์เคลื่อนไหวในกรอบราคาแคบๆ ไม่มีทิศทางที่ชัดเจน)

วัฏจักรการลงทุนรายย่อย
วัฏจักรของนักลงทุนรายย่อย ซึ่งจะตรงกันข้ามกับกลุ่ม Smart Money: Wealthcreatures

ให้ลองนึกภาพว่า “ระยะสะสม” เป็นโซนที่มีการซื้ออย่างเมามันและมีการประกาศสินค้าหมดในช่วงลดราคาล้างสต๊อก ในเชิงโครงสร้างตลาดซื้อขาย การประกาศสินค้าหมดเปรียบเสมือนการเพิ่มขึ้นอย่างกระทันหันของราคาหรือเทรนด์ขาขึ้นที่จะเกิดขึ้นต่อมาหลังจากระยะสะสม (หรือที่เรียกกันว่า ระยะการเพิ่มขึ้น) ซึ่งนี่จะเป็นช่วงเวลาที่เหล่า Weak Hands (นักลงทุนที่มีจิตใจอ่อนแอ ไม่สามารถรับแรงกดดันของตลาดได้) จะเริ่มเสียใจที่ไม่ได้ถือครองสินทรัพย์นั้นๆ

ในระยะการสะสม การลดลงของราคาจะไม่ลึกมาก และความผันผวนส่วนใหญ่นั้นจะเกิดขึ้นจากการที่เหล่า Weak Hands ออกไปเนื่องจากราคามีความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย

ระยะแจกจ่าย (Distribution Phase) คืออะไร?

นี่คือระยะที่ 3 ของวัฏจักรราคา Wyckoff หลังจากระยะสะสมและระยะไล่ราคาเสร็จสิ้นแล้ว ช่วง Trading Range จะปรากฏขึ้นหลังจากที่ราคาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อถึงจุดนี้ กลุ่ม Smart Money (เหล่านักลงทุนที่รอบรู้หรือมีประสบการณ์สูง) จะเริ่มทยอยปล่อยขาย เหล่านักลงทุนที่ไร้ประสบการณ์ก็จะยังคงซื้อต่อไปเนื่องจากความเชื่อมั่นโดยรวม (หลังระยะการเพิ่มขึ้น) ยังคงเป็นขาขึ้นอยู่

“ระยะแจกจ่าย” เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกันอย่างชัดเจนกับ “ระยะสะสม” และจะตามมาด้วยการลดลงของราคาอย่างต่อเนื่อง หรือ “ระยะการลดลง”

ลองนึกภาพของตอนจบของงานแสดงดอกไม้ไฟที่เหล่าผู้ขายที่ชาญฉลาดเทขายดอกไม้ไฟของพวกเขาให้กับผู้อื่น — ผู้ที่ต้องการให้ช่วงเวลาของงานแสดงยืดยาวออกไป ผู้ที่อาจจะไม่รู้ว่าส่วนที่ดีที่ของงานแสดงนี้จะจบลงแล้ว ในขณะที่คนอื่นๆ ที่รู้เริ่มทยอยออกจากงานแสดงแล้ว

กฏหลัก 3 ข้อของ “ทฤษฎี Wyckoff”

ตอนนี้ เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับระยะต่างๆ ของทฤษฎี Wyckoff ไปบ้างแล้ว ต่อไป เราจะไปดูกฏหลัก 3 ข้อที่ส่งผลต่อกลยุทธ์การเทรดนี้กัน

กฏข้อที่ 1: กฏของอุปสงค์และอุปทาน

จากกฏข้อนี้ ความเคลื่อนไหวของราคาของสินทรัพย์นั้นเป็นผลมาจากความสมดุลของอุปสงค์และอุปทาน ตัวอย่างเช่น หากอุปทานมีมากกว่าอุปสงค์ ราคาก็มักจะลดลง ในทางตรงกันข้าม ราคาจะสูงขึ้นเมื่ออุปสงค์มีมากกว่าอุปทาน เมื่ออุปทานมีเท่ากับอุปสงค์ มันก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากนัก ซึ่งทำให้การซื้อขายในตลาด/สินทรัพย์ยังคงดำเนินต่อไปในแบบ Sideways

กฏข้อที่ 2: กฏของเหตุและผล

กฏข้อนี้ระบุว่า “ผล” หรือ ความเคลื่อนไหวของราคา นั้นเกิดขึ้นมาจาก “สาเหตุ” บางอย่าง (การซื้อและการขาย) ตัวอย่างเช่น ระยะสะสมที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ (เหตุ) ก่อให้เกิดการเพิ่มขึ้นของราคาหรือระยะการเพิ่มขึ้น (ผล)

กฏข้อที่ 3: กฏของความพยายามและผลลัพธ์

สำหรับกฏข้อที่ 3 นี้ นักเทรดสามารถค้นหาการกลับตัวของเทรนด์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ด้วยการดูสัญญาณที่ขัดแย้งกันระหว่างความพยายาม (ปริมาณการซื้อขาย) และผลลัพท์ (การเปลี่ยนแปลงของราคา) กรณีที่ปริมาณการซื้อขายต่ำแต่มีการเปลี่ยนแปลงของราคาอย่างมาก นั่นหมายความว่าโอกาสที่การกลับตัวของเทรนด์จะเกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น หากคริปโตอยู่ในช่วงขาขึ้น คุณก็คงคาดหวังว่ามันจะมีปริมาณการซื้อขายที่สูงและมีการเปลี่ยนแปลงของราคาอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม หากการเปลี่ยนแปลงของราคาเริ่มที่จะช้าลงและปริมาณซื้อขายยังคงเพิ่มขึ้น คุณก็ควรที่จะเตรียมตัวพบกับการกลับตัวของเทรนด์ได้เลย

กฏข้อที่ 2 และ 3 นั้นจะเป็นการนำเอาสาเหตุ (ระยะต่างๆ ของทฤษฎี Wyckoff) และความพยายาม (ปริมาณการซื้อขาย) มาพิจารณาร่วมกับการเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์-อุปทานหรือกฏข้อที่ 1 นักเทรดที่มีประสบการณ์ควรจะตั้งคำถามต่อรูปแบบ Wyckoff ที่พวกเขาค้นพบในทุกๆ จุดโดยอิงตามกฏหลัก 3 ข้อข้างต้นเพื่อค้นหาสถานะการเทรดที่เหมาะสมสำหรับพวกเขา

ความสัมพันธ์กันของทฤษฎี Wyckoff

ทฤษฎี Wyckoff เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การเทรดในภาพกว้างที่ทำงานร่วมกับ Momentum Indicators (อินดิเคเตอร์หรือตัวชี้วัดที่ใช้ตรวจสอบความแข็งแกร่งของการเปลี่ยนแปลงของราคา), Moving Averages (เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่), และ Oscillators (ตัวชี้วัดทางเทคนิคที่ใช้ระบุสัญญาณการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์) ได้เป็นอย่างดี มันช่วยให้วิธีการเทรดมีความหลากหลายและปรับเปลี่ยนได้เป็นอย่างมาก สิ่งที่ทำให้ทฤษฎี Wyckoff โดดเด่นกว่ากลยุทธ์การเทรดคริปโตอื่นๆ ก็คือมันทำงานได้ดีพอๆ กับที่ทำได้ดีกับ Forex (ตลาดซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนต่างประเทศ) และ Stock Market (ตลาดหุ้น)

ต่อไปคือตัวอย่างบางส่วนของระยะ Wyckoff ที่สามารถพบเห็นได้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา:

กราฟ BTC-USDT นี้แสดงให้เห็นถึงระยะการสะสมก่อนที่ตลาดขาขึ้นจะผลักดันราคาของ BTC ขึ้นไปที่ 67,000 ดอลลาร์และสูงกว่านั้น ซึ่งเราจะไปพูดคุยกันเรื่องอินดิเคเตอร์และข้อมูลเชิงลึกต่างๆ ในภายหลัง

ทฤษฎี Wyckoff และระยะสะสม
ทฤษฎี Wyckoff และระยะสะสม: TradingView

ระยะแจกจ่ายที่เห็นได้อย่างชัดเจนซึ่งตามมาด้วยระยะการลดลงของราคาถูกพบในกราฟราคาของ AAPL (Apple) ในปี 2020

ทฤษฎี Wyckoff และระยะแจกจ่าย
ทฤษฎี Wyckoff และระยะแจกจ่าย: TradingView

ความเป็นมาของ “Wyckoff”: ประวัติศาสตร์, หลักการ และอื่นๆ

Richard Demille Wyckoff คือนักเทรดประสบการณ์สูงที่พัฒนากลยุทธ์การวิเคราะห์ตลาดขึ้นมามากมาย เช่น Tape Reading, Chart Reading และกลยุทธ์ที่เราพูดคุยกันในบทความนี้อย่างทฤษฎี Wyckoff เขาเชื่อว่ากิจกรรมในตลาดซื้อขายนั้นถูกกำหนดโดยการกระทำของนักลงทุนสถาบันและความเปลี่ยนแปลงในตลาดซื้อขายนั้นเกี่ยวข้องกับอุปสงค์และอุปทาน

ในการพัฒนาทฤษฎี Wyckoff เขาจับตามองผู้ดำเนินการตลาดซื้อขายอย่าง JP Morgan และ Jesser Livermore อย่างใกล้ชิด Wyckoff ได้ระบุถึงวิธีการที่นักเทรดและสถาบันใช้ และสังเกตถึงผลกระทบที่สอดคล้องกันกับความเปลี่ยนแปลงของราคาและปริมาณการซื้อขายทั่วทั้งตลาด

ต่อไปนี้คือหลักการที่สำคัญที่ช่วยในการขับเคลื่อนทฤษฎี Wyckoff:

  1. โครงสร้างตลาดซื้อขายทั้งหมดจะประกอบไปด้วยวัฏจักรดังนี้: การสะสม, การเพิ่มขึ้น, การกระจาย, และการลดลง
  2. อุปสงค์และอุปทานของสินทรัพย์คือสิ่งที่ช่วยขับเคลื่อนราคาของมัน ดังนั้น ข้อมูลราคาและปริมาณการซื้อขายควรจะนำมาพิจารณาร่วมกัน
  3. เหล่านักลงทุนสถาบันหรือกลุ่ม “Smart Money” สามารถส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของตลาดซื้อขายได้ การตรวจสอบพฤติกรรมของพวกเขาจะช่วยให้สามารถคาดการณ์เทรนด์ของตลาดได้
  4. เพื่อระบุโอกาสในการเทรดของสินทรัพย์นั้นๆ คุณสามารถเปรียบเทียบมันกับเกณฑ์มาตรฐาน (เช่น Bitcoin สำหรับคริปโต) หรือดัชนี (S&P 500 สำหรับในกรณีของหุ้น) ใดๆ ได้ มันจะช่วยให้คุณเข้าใจถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของสินทรัพย์นั้นๆ ได้
  5. การจัดการความเสี่ยงและจังหวะการซื้อขายที่แม่นยำเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากในการเทรด แม้กระทั่งกับทฤษฎี Wyckoff เอง เราจำเป็นจะต้องกำหนดจุดเข้าและออกให้ได้เสียก่อน ตามมาด้วยการกำหนดขนาดการลงทุนด้วยการใช้ Stop-Losses

เจาะลึกทฤษฎี Wyckoff: ระยะต่างๆ, ความเปลี่ยนแปลงของตลาด และอื่นๆ

ตอนนี้ ถึงเวลาแล้วที่เราจะมาดูกันในเรื่องทางเทคนิคเพื่อที่จะแสดงให้เห็นถึงระยะต่างๆ ของทฤษฎีนี้ การเทรดด้วยการใช้ทฤษฎี Wyckoff สามารถกำหนดได้ด้วยวิธีการกว้างๆ 5 วิธี ได้แก่:

  1. กำหนดวัฏจักรของตลาดหรือช่วงระยะต่างๆ (ช่วงระยะใดๆ ในทั้ง 4 ช่วง)
  2. การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์-อุปทาน
  3. การประเมินสภาวะตลาด (จุดแข็งและจุดอ่อน)
  4. การวิเคราะห์ความพร้อมของตลาด (ดูสัญญาณ และจุดเข้า-ออก)
  5. กำหนดช่วงเวลาการเทรด

การกำหนดระยะต่างๆ จากวัฏจักรราคา

อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น ตามทฤษฎี Wyckoff นั้นจะมีระยะของวัฏจักรราคาอยู่ 4 ช่วง — การสะสม, การเพิ่มขึ้น, การกระจาย, และการลดลง ซึ่งก่อนหน้านี้เราได้อธิบายความหมายกว้างๆ ของมันไปแล้ว ต่อไป เราจะมาเจาะลึกเกี่ยวกับข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมกัน:

การสะสม (Accumulation)

สิ่งนี้จะเกิดขึ้นทันทีหลังจากเทรนด์ขาลงและมีลักษณะเด่นคือ มีการซื้อด้วยต้นทุนต่ำ, ปริมาณการซื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีความผันผวนของราคาเพียงเล็กน้อย

ด้านล่างนี้คือระยะสะสมบนกราฟราคา BTC ที่เราได้คุยกันไปก่อนหน้านี้ แต่ครั้งนี้จะมี RSI และอินดิเคเตอร์วัดปริมาณการซื้อขายเพิ่มเข้ามาด้วย จะสังเกตเห็นได้ว่า ระยะสะสม เริ่มขึ้นเมื่อระดับ RSI ของ BTC ลดลงไปต่ำกว่า 25 (22.67) โซน Oversold (โซนที่มีแรงขายมากเกินไป) และ Undervalued (โซนที่มูลค่าของสินทรัพย์ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น) คือสิ่งที่ผลักดันให้เกิดระยะสะสม

รูปแบบของWyckoff
รูปแบบ Wyckoff พร้อมข้อมูลสนับสนุนจากอินดิเคเตอร์: TradingView

เราจะเห็นได้ถึงการก่อตัวของเสาสีเขียว (แท่งของราคาที่เพิ่มขึ้น) ในช่วงสิ้นสุดของระยะสะสม

การเพิ่มขึ้น (Markup)

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าโครงสร้างตลาดซื้อขายของ BTC ในปี 2021 เป็นส่วนหนึ่งของการเทรดในทฤษฎีของ Wyckoff? RSI แสดงให้คุณเห็นอย่างชัดเจนถึงโอกาสที่ราคาจะเพิ่มสูงขึ้น คุณจะเห็นได้ว่า RSI สร้างรูปแบบจุดต่ำที่สูงขึ้น ซึ่งตรงกันข้ามกับความเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาเดียวกัน ดังนั้น เราจึงคาดการณ์ได้ว่ามันเป็นระยะสะสมที่กำลังเปิดทางให้ราคาเพิ่มสูงขึ้น

รูปแบบของWyckoff และ RSI
รูปแบบ Wyckoff และสัญญาณจาก RSI: TradingView

การแจกจ่าย (Distribution)

ระยะแจกจ่ายจะเริ่มต้นหลังจากเทรนด์ขาขึ้นและมีลักษณะเด่นคือมี RSI ที่สูงและมีการเพิ่มขึ้นของเสาสีแดง (แท่งของราคาที่ลดลง) คอนเซปต์ของระยะแจกจ่ายก็คือแรงขายที่เพิ่มสูงขึ้นนั่นเอง

ด้านล่างคือกราฟราคา BTC จากปลายปี 2017 ซึ่งราคา BTC พุ่งขึ้นไปสูงสุดเกือบ 20,000 ดอลลาร์ คุณจะสังเกตเห็นได้ว่า RSI ในขณะนั้นอยู่ในเขต Overbought (โซนที่มีแรงซื้อมากเกินไป) ซึ่งจะเป็นการบอกใบ้ถึงการชะลอตัวของราคาที่กำลังจะมาถึง และปริมาณการซื้อขายก็ลดลงเช่นกัน สิ่งที่ตามมาก็คือ ระยะแจกจ่าย ที่เราจะเห็นได้จากการที่ RSI ลดลงเป็นอย่างมาก

กราฟ Bitcoin ที่แสดงให้เห็นถึงวัฏจักรการแจกจ่าย
กราฟ Bitcoin ที่แสดงให้เห็นถึงวัฏจักรการแจกจ่าย: TradingView

การก่อตัวของเสาสีแดงอย่างค่อยเป็นค่อยไปก่อนที่จะสิ้นสุดระยะแจกจ่ายบ่งบอกถึงการปรับฐานราคาที่กำลังจะเริ่มขึ้น

การลดลง (Markdown)

ในขณะที่ราคาจะวิ่งอยู่ในกรอบราคาในระยะแจกจ่าย ราคานั้นจะเริ่มร่วงลงในระยะการลดลง นี่คือช่วงเวลาที่เริ่มมีแรงขายอย่างชัดเจน แม้แต่นักลงทุนทั่วไปก็เริ่มที่จะถอนตัวออกมา

เมื่อคุณเข้าใจถึงระยะต่างๆ แล้ว การกำหนดวัฏจักรของตลาดก็จะกลายเป็นเรื่องที่ง่ายยิ่งขึ้น

บทบาทของการเปลี่ยนแปลงในตลาดซื้อขายในทฤษฎี Wyckoff

กราฟราคาที่เราใช้เป็นตัวอย่างด้านบนนั้น เราได้รวมเอาเรื่องอุปสงค์และอุปทานเข้ามาพิจารณาร่วมด้วยแล้ว ซึ่งเราจะมาอธิบายคอนเซปต์ของมันในเชิงลึกกัน

  1. ราคาที่เพิ่มขึ้นพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่สูงบ่งบอกถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่ง ในขณะที่ราคาลดลงพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่สูง (เสาสีแดง) จะเป็นการบ่งบอกถึงแรงขายที่แข็งแกร่ง ข้อมูลเหล่านี้คือกุญแจสำคัญในการเกิดขึ้นของระยะ การสะสม-การเพิ่มขึ้น และ การแจกจ่าย-การลดลง
  2. หากระยะสะสมและแจกจ่ายกำลังเกิดขึ้น ขอบเขตของแท่งเทียนจะสามารถทำหน้าที่เป็นระดับแนวต้านและแนวรับได้ ซึ่งคุณจะสามารถใช้มันเป็นจุดเข้า-ออกสำหรับการเทรดของคุณได้
  3. รูปแบบ Wyckoff บางรูปแบบนั้นก็เกิดขึ้นระหว่างระยะต่างๆ การทำความเข้าใจสิ่งเหล่านั้นสามารถช่วยให้คุณค้นหาจุดไคลแมกซ์ — จุดที่ราคาที่การเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ — ได้
  4. รูปแบบ Wyckoff ในตลาดซื้อขายนั้นอาจจะแตกต่างกันไปในกรอบเวลาต่างๆ ตัวอย่างเช่น ในกราฟรายวัน เราอาจจะมองไม่เห็นถึงรูปแบบ Wyckoff ในขณะที่เราสามารถเห็นถึงรูปแบบดังกล่าวได้ในกราฟราย 4 ชั่วโมง

รูปแบบ Wyckoff: จุดที่สำคัญๆ ที่จะช่วยให้สามารถคาดการณ์ได้ดียิ่งขึ้น

ตอนนี้ เราจะมาสำรวจรูปแบบในเชิงลึกเพื่อทำความเข้าใจในเซคชั่นต่างๆ ของการเทรดด้วยทฤษฎี Wyckoff ซึ่งเราจะมาดูองค์ประกอบต่างๆ ของรูปแบบ Wyckoff ที่มักจะพบเห็นได้ โดยจะเริ่มกันจากช่วงระยะสะสม และจะไล่ไปเรื่อยๆ

Preliminary Support หรือ PS

นี่คือระดับของแนวรับของเทรนด์ขาลงที่เกิดขึ้นก่อนระยะสะสม มันคือระดับต่ำสุดที่ราคาของคริปโตหรือสินทรัพย์ใดๆ จะลดลงได้ก่อนถึงระยะสะสม ในระยะสะสมหรือช่วง Trading Range นั้น PS จะเป็นจุดที่ราคาเริ่มทรงตัว ซึ่งเป็นจุดที่เหล่า “Smart Money” เริ่มเข้ามาทำการซื้อ

Selling Climax หรือ SC

ถึงแม้ว่ามันจะถูกนับเป็นจุดหลังจาก PS แต่ SC นั้นถือเป็นจุดแรกบนกราฟและเป็นโซนที่ราคาสินทรัพย์พบกับแรงขายอย่างรุนแรงก่อนที่จะเข้าสู่ช่วง Trading Range ในระยะสะสม กลุ่ม “Smart Money” ที่จุด PS จะเริ่มดูดซับแรงขายที่หนักหน่วงเหล่านั้น

โซนนี้มักจะเป็น Panic Selling Zone (โซนที่ผู้คนเทขายเพราะความตื่นตระหนก) ซึ่งทำให้แรงขายอ่อนตัวลงและเริ่มช่วงการเทรดในกรอบราคาครั้งใหม่

Wyckoff
รูปแบบ Wyckoff สำหรับระยะสะสม: Binance

Automatic Rally หรือ AR

AR มักจะเป็นจุดที่เกิดขึ้นตามหลังจุด SC ซึ่งจะเป็นจุดที่เริ่มมีแรงซื้อเข้ามาเพิ่มขึ้น ซึ่งเกิดจากการที่กลุ่ม “Smart Money” หรือนักลงทุนเข้ามาซื้ออย่างกระทันหัน ถึงแม้ว่าจะไม่ต่อเนื่อง แต่ก็พอมีแรงเหวี่ยงขาขึ้นให้ได้เห็นบ้าง เมื่อราคาเข้าสู่ระยะสะสม จุดนี้จะใช้เป็นแนวต้านสำหรับคาดการณ์ระยะเพิ่มขึ้นที่กำลังจะมาถึง

Secondary Test หรือ ST

จุด ST คือจุดที่ทำหน้าที่เป็นการทดสอบแนวรับของรูปแบบ Wyckoff เป็นจุดที่ราคาพุ่งขึ้นและอ่อนแรงลงหลังจากจุด AR แสดงให้เห็นว่ายังคงมีแรงขายกดดันอยู่

มันสามารถมีจุด AR และ ST ได้หลายจุดก่อนที่จะไปถึงระยะการเพิ่มขึ้น

Spring

ในระยะสะสม ช่วงกวาดล้างเหล่า Weak-Hands จะเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อราคาหลุดลงไปต่ำกว่าแนวรับเดิม (จุด ST) ซึ่งจะเป็นการกดดันให้เหล่า Weak-Hands ออกไปและกำจัดแรงขายทั้งหมดออกไป ตัวชี้วัดสัญญาณ “Spring” ได้ดีที่สุดคือปริมาณการซื้อขายที่ลดลงหลังจากราคาลดลง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแรงขายเริ่มที่จะหมดไป

Last Point of Support หรือ LPS

ณ จุดนี้ ราคาสินทรัพย์จะทดสอบระดับแนวรับของจุด ST ก่อนหน้าทั้งหมดอีกครั้ง และราคาจะพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงจุดๆ หนึ่งที่ราคาฝ่าผ่านแนวต้าน ณ จุด AR ไปได้ มันก็จะกลายเป็นจุด SOS หรือ Sign of Strength ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของระยะการเพิ่มขึ้น

ทั้งหมดที่กล่าวไปคือองค์ประกอบต่างๆ ของระยะสะสมทั้งหมด ต่อไป เราจะมาดูองค์ประกอบที่สำคัญของระยะแจกจ่ายกันบ้าง:

Preliminary Supply หรือ PSY

เราทราบกันไปแล้วว่า ระยะแจกจ่าย นั้นจะเกิดขึ้นหลังจากเทรนด์ขาขึ้น เมื่อตลาดซื้อขายของสินทรัพย์ใดๆ เข้าสู่ระยะแจกจ่าย มันจะพบกับโซนแนวต้าน ซึ่งจะเอาชนะเทรนด์ขาขึ้นของราคาไปได้ แล้วจะทำให้ตลาดเข้าสู่ช่วง Trading Range ณ จุดนี้ การขายจะเริ่มขึ้น จุดนี้อาจจะถูกเรียกอีกชื่อว่า Preliminary Resistance หรือ PR

Automatic Reaction (AR) หรือ Automatic Sell-off (AS)

นี่คือขั้วตรงข้ามของจุด Automatic Rally หรือ AR ที่เราเห็นได้ในระยะสะสม จุด AR หรือ AS ในระยะนี้นั้นเป็นเหมือนกับการปรับฐานราคาอย่างรวดเร็วเนื่องจากเหล่า “Smart Money” เริ่มที่จะขายสินทรัพย์ที่พวกเขาถือครองไว้ นักเทรดทั่วไปนั้นจะคิดว่ามันเป็นการปรับฐานราคาทั่วไปแล้วจบลงด้วยการถือสถานะของพวกเขาไว้เช่นเดิม จุดนี้ยังช่วยในการกำหนดระดับแนวรับที่แข็งแกร่งของสินทรัพย์อีกด้วย

Wyckoff
รูปแบบ Wyckoff สำหรับระยะแจกจ่าย: Binance

Upthrust หรือ UT

หลังจากจุด AS ก็คือการวิ่งขึ้นที่จะเรียกว่าจุด UT หรือ UpThrust ณ จุดนี้ นักลงทุนจำนวนมากเริ่มเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งจะสร้างระดับแนวต้านที่สำคัญที่สูงกว่าจุด PSY ในระดับนี้ แรงซื้อจากรายย่อยจะเพิ่มมากขึ้น แต่เหล่า “Smart Money” จะเริ่มเทขายเพื่อดูดซับแรงซื้อที่เพิ่มขึ้น จุดนี้ถือเป็นกับดักสำหรับนักลงทุนที่มีความกระตือรือร้นมากเกินไป

Secondary Test หรือ ST

จุดนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งก่อนและหลังที่จะเกิดจุด UT เป็นจุดที่ราคาสินทรัพย์เริ่มจะทดสอบจุด PSY หรือ PR (Preliminary Resistance) อีกครั้ง เพื่อที่จะเป็นการเริ่มการปรับฐานราคาอีกครั้ง

Upthrust After Distribution หรือ UTAD

นี่เป็นจุดที่เป็นความพยายามครั้งสุดท้ายของเหล่าผู้ซื้อที่จะส่งให้ราคาพุ่งสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของราคาที่มาพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่ต่ำเป็นการบ่งบอกว่าแรงกดดันในการซื้อนั้นกำลังอ่อนตัวลง

Last Point of Supply หรือ LPSY

ระยะการลดลงของราคาที่แท้จริงจะเริ่มต้นจากจุดนี้ เนื่องจากราคาลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่าแนวรับในจุด AR เมื่อลดลงไปถึงจุดต่ำสุด มันจะถูกเรียกว่า “Sign of Weakness” หรือ SoW ซึ่งเป็นจุดที่สมบูรณ์แบบสำหรับการ Short สินทรัพย์ หากคุณสามารถระบุมันได้อย่างถูกต้อง

และทั้งหมดนั่นคือการสรุปรวมจุดต่างๆ ที่สำคัญในระยะแจกจ่าย ซึ่งมีรูปแบบ Wyckoff มากมายแสดงให้เห็นอยู่ในกราฟ ช่วยให้เหล่านักเทรดหรือนักลงทุนสามารถทำการตัดสินใจในการเข้าและออกได้ดียิ่งขึ้น

ด้านล่างนี้คือกราฟ BTC ที่แสดงให้เห็นว่าราคาสูงสุดที่ 69,000 ดอลลาร์ที่ขึ้นไปถึงในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2021 เป็นจุด UT ของระยะแจกจ่าย ซึ่งเป็นจุดดักจับนักลงทุนที่ไม่รู้เรื่องราวอะไร

Wyckoff
ตัวอย่างรูปแบบ Wyckoff: TradingView

การประเมินความแข็งแกร่งของตลาด: เสริมข้อมูลให้กับรูปแบบ Wyckoff

ถึงแม้ว่าการเข้าใจองค์ประกอบของ “ทฤษฎี Wyckoff” จะช่วยให้คุณระบุจุดสำคัญๆ ได้ แต่การประเมินความแข็งแกร่งของตลาดก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่จะช่วยให้ได้ข้อมูลเชิงลึกเฉพาะทางอื่นๆ เช่นกัน

ตัวอย่างเช่น การตรวจสอบ Bitcoin Dominance Chart และ Fear and Greed Index ก็เป็นสิ่งที่สำคัญหากคุณสนใจในสกุลเงินคริปโต สิ่งเหล่านี้เป็นเกณฑ์มาตรฐานที่คุณจะสามารถใช้ทดสอบสัญญาณ Wyckoff ได้

อีกหนึ่งวิธีในการทดสอบความแข็งแกร่งของตลาดคือการดูความเคลื่อนไหวของราคาที่สัมพันธ์กับ RSI หากสัญญาณ Bullish Divergence ปรากฏขึ้นในขณะที่ราคาของสินทรัพย์อยู่ในระยะสะสม คุณก็อาจจะต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมกับ “ระยะการเพิ่มขึ้น” หรือการเพิ่มขึ้นของราคาในระยะยาวที่กำลังจะมาถึง เช่นเดียวกัน หากในความเคลื่อนไหวขาขึ้น คุณพบว่า RSI สร้างสัญญาณ Bearish Divergence ขึ้นมา การเข้าสู่ตลาดในช่วงเวลาดังกล่าวก็อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด

การใช้งานรูปแบบ Wyckoff ร่วมกับเกณฑ์มาตรฐานและตัวชี้วัดโมเมนตัมต่างๆ สามารถช่วยให้คุณได้รับสัญญาณการซื้อขายที่ดียิ่งขึ้นได้

วิเคราะห์ความพร้อมของตลาด

ความพร้อมของตลาดเป็นอีกหนึ่งแง่มุมสำคัญในการนำรูปแบบ Wyckoff ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยคุณสามารถตรวจสอบสัญญาณดังต่อไปนี้ได้:

  1. การสะสมและการแจกจ่าย: การวิเคราะห์ราคาและปริมาณการซื้อขายเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการที่จะได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการสะสมและการแจกจ่าย ในขณะที่ตัวชี้วัดอย่าง ADX สามารถช่วยคุณได้เสมอ เคล็ดลับสำหรับมือโปรก็คือการมองหาปริมาณการซื้อขายที่สูงใกล้กับแนวรับและแนวต้าน หากคุณสนใจเฉพาะเรื่องราคา ความเคลื่อนไหวอย่างจุด Automatic Sell-off หรือจุด Upthrust (จากรูปแบบ Wyckoff ที่เราได้พูดถึงกันไปก่อนหน้านี้) ก็เป็นสิ่งที่คุณสามารถไปพิจารณาได้
  2. การฝ่าแนวต้าน/แนวรับ: อีกหนึ่งวิธีที่ดีในการตรวจสอบความพร้อมของราคาคือการตรวจหาการฝ่าแนวต้าน/แนวรับของรูปแบบออกไป หากราคาของสินทรัพย์เคลื่อนไหวขึ้นไปสูงหรือลงมาต่ำกว่าระดับของเส้นแนวโน้มที่กำหนด คุณอาจจะได้รับข้อมูลยืนยันเพิ่มเติมสำหรับการเทรดด้วยรูปแบบ Wyckoff ของคุณ
  3. การยืนยัน: หากคุณรู้วิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิค การมองหาจุด Golden Cross หรือ Death Cross (รูปแบบของการวิ่งตัดกันของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่) เพื่อยืนยันรูปแบบ Wyckoff ที่สอดคล้องกันกับระยะสะสมและระยะแจกจ่ายก็ถือเป็นวิธีที่ดีเช่นกัน

จับจังหวะการเทรดอย่างเหมาะสมด้วยทฤษฎี Wyckoff

ถึงแม้ว่าการจับจังหวะของตลาดอาจจะมีความเสี่ยงอยู่บ้าง แต่การใช้รูปแบบ Wyckoff พร้อมสัญญาณยืนยัน ก็อาจจะช่วยให้ทำกำไรได้ วิธีที่ดีที่สุดในการเทรดคือการมองหาวิธีการที่มีความเสี่ยงต่ำแต่ให้ผลตอบแทนสูง ซึ่งหมายถึงการจับจังหวะการซื้อในช่วงของระยะการเพิ่มขึ้นหรือการ Short ในช่วงแรกๆ ของระยะการลดลง

ในกรณีที่คุณวางแผนที่จะเข้าและออกจากตลาด ณ จุดใดจุดหนึ่งที่เฉพาะเจาจะลง ระดับแนวต้านและแนวรับที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบ Wyckoff ก็อาจจะช่วยได้ ซึ่งคุณสามารถอ้างอิงจากรูปแบบ Wyckoff ในวัฏจักรการสะสมและแจกจ่ายที่เราได้พูดถึงกันไปก่อนหน้านี้ได้

สุดท้ายนี้ เช่นเดียวกับกลยุทธ์การเทรดอื่นๆ การใช้ทฤษฎี Wyckoff นั้นยังต้องการกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงเป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งรวมถึงการเซ็ตจุด Stop-Loss ให้กับออเดอร์ เป็นต้น

เราจะใช้งานทฤษฎี Wyckoff ได้อย่างไร?

นอกเหนือไปจากการใช้งานกลยุทธ์ต่างๆ ที่ได้กล่าวถึงไปข้างต้นร่วมกับทฤษฎี Wyckoff เพื่อให้ได้ผลประโยชน์สูงสุดแล้ว ต่อไปนี้คือกระบวนการต่างๆ ตามลำดับที่จะช่วยให้คุณใช้งานทฤษฎี Wyckoff ได้

  1. ระบุช่วงของตลาดซื้อขาย: ขั้นตอนแรกในการใช้งานทฤษฎี Wyckoff คือให้ทำการตรวจสอบและยืนยันช่วงปัจจุบันของตลาด/สินทรัพย์
  2. วิเคราะห์ราคาและปริมาณการซื้อขาย: ให้ยืนยันว่ารูปแบบ Wyckoff ทั้งหมดที่สอดคล้องกับช่วงระยะต่างๆ มาจากการวิเคราะห์ราคาและปริมาณการซื้อขายอยย่างถูกต้อง วิธีการที่รวดเร็วอีกอย่างคือการมองหาปริมารการซื้อขายที่สูงที่ระดับแนวต้านและแนวรับ
  3. จัดจำรูปแบบต่างๆ ให้ได้อย่างชัดเจน: รูปแบบ Wyckoff ที่สำคัญบางส่วนนั้นต้องการความใส่ใจเป็นพิเศษ ซึ่งนั่นรวมไปถึงจุด Selling หรือ Buying Climaxes, Upthrusts และ Springs คุณควรทำความเข้าใจรูปแบบเหล่านี้ให้ชัดเจนและยืนยันมันด้วยเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ ได้ หากจำเป็นต้องทำ
  4. ใช้เครื่องมือสนับสนุน: คุณสามารถใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น Trendlines (เส้นแนวโน้ม), Oscillators (ออสซิลเลเตอร์), Moving Averages (ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่), หรือ Volume Indicators (ตัวชี้วัดปริมาณการซื้อขาย) เพื่อช่วยยืนยันช่วงระยะต่างๆ ของทฤษฎี Wyckoff
Wyckoff
ตรวจสอบวัฏจักรการสะสมของราคาโดยใช้ตัวชี้วัดราคา-ปริมาณการซื้อขาย: TradingView

ข้อจำกัดของทฤษฎี Wyckoff

ต่อไปนี้คือข้อเสียบางส่วนที่คุณอาจจะต้องรู้ไว้สำหรับทฤษฎี Wyckoff:

  1. ใช้เวลานาน: การใช้งานทฤษฎี Wyckoff จะประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ หลายขั้นตอนเพื่อให้ประสบการณ์การเทรดที่สมบูรณ์แบบ เพื่อที่จะให้ได้สัญญาณการเทรดที่ถูกต้อง คุณอาจจะต้องใช้เวลาเตรียมการเป็นอย่างมาก
  2. ไม่ใช่ระบบแบบองค์รวม: ทฤษฎี Wyckoff ไม่ใช่กลยุทธ์การเทรดแบบองค์รวม คุณจะต้องใช้มันควบคู่ไปกับเครื่องมือเทรดอื่นๆ เช่น ออสซิลเลเตอร์ และ เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ เพื่อให้สามารถจับจังหวะการเทรดได้อย่างเหมาะสม
  3. ยังคงมีแนวโน้มที่จะผันผวน: นักเทรดจะต้องรู้ว่าราคาของสินทรัพย์อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ทันทีในช่วงระยะการเพิ่มขึ้นหรือลดลง ซึ่งขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นของตลาด ในวงการคริปโตนั้น ความเชื่อมั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะใช้ร่วมกับรูปแบบ Wyckoff

เพื่อที่จะขจัดข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการใช้งานทฤษฎี Wyckoff คุณควรใช้มันร่วมกับข้อมูลและเครื่องมืออื่นๆ ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถขยายขอบเขตของการวิเคราะห์ทางเทคนิคของคุณได้

ทฤษฎี Wyckoff ตัวเดียวจบหรือไม่?

ทฤษฎี Wyckoff ไม่ใช่วิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่น่าเพลิดเพลินที่สุดหรือง่ายดายที่สุด แต่อย่างน้อย มันก็ช่วยให้คุณประสบความสำเร็จได้ วิธีการดังกล่าวได้รับการทดสอบมาแล้วเป็นเวลานานและโฟกัสไปที่ข้อมูลต่างๆ ของตลาดในมุมมองที่กว้างขึ้น — อุปสงค์/อุปทาน, ราคา/ปริมาณการซื้อขาย, และการสะสม/การแจกจ่าย หากคุณจับคู่มันเข้ากับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่สำคัญต่างๆ เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่, ตัวชี้วัดต่างๆ และออสซิลเลเตอร์ คุณจะสามารถใช้งานกลยุทธ์การเทรดนี้ได้ดียิ่งขึ้นไปอีก

ทฤษฎีในการซื้อขายนี้มีอายุมายาวนานกว่าหนึ่งศตวรรษแล้วและยังสามารถใช้งานได้เป็นอย่างดี ด้วยใช้งานอย่างถูกต้อง มันสามารถใช้งานได้ดีพอๆ กัน ทั้งในตลาดหุ้น, ตลาดคริปโต, หรือแม้แต่ตลาดฟอเร็กซ์ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

เราจะใช้งานทฤษฎี Wyckoff ได้ที่ใดบ้าง?

คุณสามารถใช้งานทฤษฎี Wyckoff ได้บนกระดานเทรดคริปโตชั้นนำต่างๆ เช่น

คำถามที่พบบ่อย

รูปแบบ Wyckoff คืออะไร?

รูปแบบ Wyckoff เป็นรูปแบบขาขึ้นหรือไม่?

ทฤษฎี Wyckoff มีประสิทธิภาพหรือไม่?

รูปแบบ Wyckoff มีความแม่นยำเพียงใด?

🎄แพลตฟอร์มคริปโตที่ดีที่สุดในไทย | ธันวาคม 2024
🎄แพลตฟอร์มคริปโตที่ดีที่สุดในไทย | ธันวาคม 2024
🎄แพลตฟอร์มคริปโตที่ดีที่สุดในไทย | ธันวาคม 2024

ข้อจำกัดความรับผิด

ข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่บนเว็บไซต์ของเราเผยแพร่ด้วยเจตนาที่ดีและเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น การกระทำใด ๆ ที่ผู้อ่านดำเนินการตามข้อมูลที่พบบนเว็บไซต์ของเราถือเป็นความเสี่ยงของผู้อ่านโดยเฉพาะ Learn ให้ความสำคัญกับข้อมูลคุณภาพสูง เราอุทิศเวลาให้กับการแยกแยะ ค้นคว้า และสร้างเนื้อหาเพื่อการศึกษาซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน เพื่อเป็นการรักษามาตรฐานนี้และเพื่อสร้างเนื้อหาคุณภาพได้อย่างต่อเนื่อง พาร์ตเนอร์ของเราอาจตอบแทนเราด้วยค่าคอมมิชชั่นสำหรับการจัดวางตำแหน่งต่าง ๆ ในบทความของเรา อย่างไรก็ดี ค่าคอมมิชชั่นนี้ไม่มีผลต่อกระบวนการของเราในการสร้างเนื้อหาที่ไร้อคติ ตรงไปตรงมา และเป็นประโยชน์

Akhradet-Mornthong-Morn.jpg
Akradet Mornthong
อัครเดช หมอนทอง เป็น นักแปล/นักเขียนคอนเทนต์ ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน NFT Games, Metaverse, AI, Crypto และเทคโนโลยีใหม่ๆ เขาจบการศึกษาในสาขาอังกฤษเพื่อการสื่อสารสากล และมีประสบการณ์ในการทำงานในวงการเกมมากกว่า 10 ปี เมื่อ NFT Games ได้กลายเป็นกระแสขึ้นมาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาก็ไม่พลาดที่จะก้าวเข้ามาในวงการนี้เพื่อศึกษาข้อมูลในเชิงลึกต่างๆ ของวงการ NFT รวมไปถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Blockchain และ Crypto อีกด้วย
READ FULL BIO
ได้รับการสนับสนุน
ได้รับการสนับสนุน