หากพูดถึงเรื่องการเทรดแล้ว สิ่งหนึ่งที่ทุกคนคาดหวังเหมือนๆ กันก็น่าจะเป็นเรื่องของการทำกำไรจากการเทรด อย่างไรก็ตาม เพื่อที่จะประสบความสำเร็จในการเทรดได้ เทรดเดอร์ควรที่จะต้องมีระบบเทรดที่มั่นคง แต่คำว่า “ระบบเทรด” นั้นหมายความว่าอย่างไร? ในบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจกันว่า ระบบเทรด คืออะไร? มันทำงานอย่างไร และประโยชน์ใดบ้างที่คุณจะได้รับจากระบบเทรด ไปดูกันเลยดีกว่า!
ระบบเทรด คืออะไร?
ระบบเทรด (Trading System) คือ การกำหนดกฏ เงื่อนไข หรือ ปัจจัยต่างๆ เพื่อใช้ช่วยในการเทรด โดยจะอ้างอิงจาก ‘การวิเคราะห์ทางเทคนิค’ หรือ ‘การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน’ เป็นหลัก ระบบเทรด (หรืออาจจะเรียกอีกอย่างว่า กลยุทธ์ในการเทรด) จะเป็นสิ่งที่ช่วยให้เทรดเดอร์รู้ได้ว่า จังหวะใดที่พวกเขาควรจะทำการซื้อขาย หรือ จะซื้อขายในรูปแบบไหนดี หรือถ้าจะให้พูดง่ายๆ “ระบบเทรด” ก็จะเป็นเหมือนกด์ไลน์ส่วนตัวของคุณที่จะบอกคุณได้ว่า คุณจะทำการซื้อขายตามแผนการที่คุณกำหนดไว้ได้อย่างไร
ระบบเทรดคือสิ่งที่สำคัญมากๆ สำหรับเหล่าเทรดเดอร์ เพราะหากไม่มีระบบเทรดอย่างชัดเจนแล้ว นั่นหมายความว่าเทรดเดอร์จะต้องทำการเทรดโดยไม่มีหลักการ ซึ่งมันคงเป็นไปได้ยากที่จะประสบความสำเร็จในการเทรด ถึงแม้ว่า พวกเขาอาจจะสามารถทำกำไรได้บ้าง 2-3 ครั้ง แต่พวกเขาก็คงไม่สามารถคาดหวังในเรื่องการทำกำไรอย่างมั่นคงได้ หากพวกเขาไม่มีกลยุทธ์ในการเทรดที่ชัดเจน
พื้นฐานของ ‘กลยุทธ์ในการเทรด’
หากคุณต้องการที่จะวางแผนหรือกำหนดกลยุทธ์ในการเทรดของคุณขึ้นมาด้วยตัวเอง นี่คือปัจจัยที่สำคัญบางส่วนที่คุณอาจจะต้องนำไปพิจารณา:
กฏของการเข้าและออกในการซื้อขาย
ระบบเทรดของคุณควรที่จะมีกฏเกณฑ์ในการเข้า (ซื้อ) หรือออก (ขาย) อย่างชัดเจน สำหรับการเข้าซื้อ อาจจะพิจารณาจาก ‘อินดิเคเตอร์’หรือ ‘รูปแบบกราฟ’ ทางเทคนิคต่างๆ เช่น สัญญาณ Golden Cross (การที่เส้น MA ระยะสั้น ตัดขึ้นไปอยู่เหนือ เส้น MA ระยะยาว) หรือ การตรวจสอบรูปแบบกราฟเพื่อหาสัญญาณต่างๆ ของการเปลี่ยนแปลงของราคา หรือ อาจจะใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานต่างๆ เช่น การเปิดเผยผลประกอบการของบริษัท หรือ ข้อมูลทางการเงินอื่นๆ ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นหรือสินทรัพย์ในตลาดได้ เป็นต้น กฏเกณฑ์เหล่านี้จะถูกนำมาปรับใช้เพื่อให้ข้อมูลว่า การเข้าซื้อในช่วงเวลานี้จะเหมาะสมหรือไม่
สำหรับการขาย คุณอาจจะกำหนดจุด Stop-Loss จุดที่จะต้องขายทิ้งเพื่อตัดขาดทุน หรือ Take Profit จุดขายของราคาที่คุณพึงพอใจในการเก็บทำกำไรของคุณ หรือ เงื่อนไขอื่นๆ ตามการเปลี่ยนแปลงของสภาวะตลาดหรือมูลค่าของสินทรัพย์
การบริหารจัดการความเสี่ยง
ระบบเทรดที่มีประสิทธิภาพจะต้องมีการรวมกลยุทธ์ในการบริหารความเสี่ยงเพื่อรักษาเงินทุนและควบคุมการขาดทุนเอาไว้ด้วย กลยุทธ์ดังกล่าวอาจจะเป็นการกำหนดขีดจำกัดของเงินทุนที่คุณจะยอมสูญเสียไปได้ต่อการเทรดในแต่ละครั้ง, การปรับขนาดของสถานะตามความผันผวนของสินทรัพย์ หรือ การกระจายเงินลงทุนของคุณไปยังสินทรัพย์หรือกลยุทธ์ประเภทต่างๆ เพื่อจำกัดความเสี่ยง เป็นต้น
การทดสอบย้อนหลัง (Backtesting)
จุดประสงค์หลักๆ ของการทำ Backtesting ก็คือ การนำกลยุทธ์ในการเทรดของเรามาทำการทดสอบกับข้อมูลย้อนหลัง เพื่อดูว่า กลยุทธ์ในการเทรดของเรานั้นจะสามารถใช้งานได้จริง หรือ สามารถทำกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ หากไม่สามารถใช้งานได้หรือไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่หวังไว้ เทรดเดอร์ก็ยังสามารถปรับเปลี่ยนหรือปรับแต่งกลยุทธ์ตามผลลัพธ์ที่ออกมาได้ ทำให้ไม่ต้องเสี่ยงกับการสูญเสียเงินทุนไปกับกลยุทธ์ที่ไม่ได้รับการปรับแต่งโดยใช่เหตุ ดังนั้น ระบบเทรดที่ประสบความสำเร็จนั้นจะต้องมีการ Backtesting ก่อนที่จะนำไปใช้ในการซื้อขายจริง
ระบบอัตโนมัติ
หนึ่งใน ระบบเทรด ที่สำคัญและมีประสิทธิภาพอย่างมากก็คือ ระบบเทรดอัตโนมัติ (หรือบอทเทรด) ซึ่งหมายความว่า การซื้อขายจะถูกดำเนินการโดยอัตโนมัติตามกฏเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ข้อดีของระบบเทรดอัตโนมัติก็คือ คุณไม่จำเป็นที่จะต้องมานั่งเฝ้าหน้าจอเพื่อวิเคราะห์รูปแบบต่างๆ อย่างต่อเนื่อง แต่จะเป็นการกำหนดรูปแบบหรือกฏเกณฑ์ที่ต้องการเอาไว้ แล้วให้ระบบทำหน้าที่ซื้อขายโดยอัตโนมัติ ทำให้คุณประหยัดเวลาได้เป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ ระบบเทรดอัตโนมัติยังสามารถทำการเทรดได้อย่างรวดเร็ว อย่างที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ ทำให้มีโอกาสที่ราคาจะเกิดความคลาดเคลื่อนได้น้อย ซึ่งก็จะเป็นการจำกัดความสูญเสียของเราที่อาจจะเกิดจากความคลาดเคลื่อนดังกล่าวนั่นเอง
การรักษาวินัยอย่างเคร่งครัด
สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากๆ ของระบบเทรดก็คือ การรักษาวินัยในการเทรดอย่างเคร่งครัด ซึ่งหมายความว่า คุณจะต้องดำเนินการตามกลยุทธ์หรือแผนการที่วางเอาไว้อย่างเข้มงวด และไม่ปล่อยให้อารมณ์เข้ามามีผลต่อการตัดสินใจในการซื้อขายของคุณ เพราะการใช้อารมณ์ในการเทรดนั้น ส่วนใหญ่มักจะนำมาซึ่งการสูญเสียนั่นเอง
โดยรวมแล้ว ระบบเทรดเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการเข้าสู่ตลาดซื้อด้วยกลยุทธ์ที่มีการวางโครงสร้างและระบบระเบียบเป็นอย่างดี เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรให้ได้สูงสุด ในขณะที่ก็ช่วยลดความเสี่ยงให้เหลือน้อยที่สุดอีกด้วย
‘การเทรด’ มีอยู่กี่ประเภท
แนวทางของ ‘การเทรด’ นั้นจะถูกแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ตามลักษณะ, แนวทาง, หรือกลยุทธ์ในการเทรดที่เทรดเดอร์ใช้งาน โดยจะแบ่งออกเป็นประเภทหลักๆ ตามนี้
- Day Trading: การซื้อขายสินทรัพย์ภายในวันเดียว เพื่อทำกำไรจากความเคลื่อนไหวของราคาในวันนั้น
- Swing Trading: การทำกำไรในช่วงเวลาระยะสั้นหรือระยะกลาง (1 วัน ถึง 1สัปดาห์) โดยใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นหลัก
- Momentum Trading: การค้นหาและซื้อขายสินทรัพย์ที่มีการเคลื่อนไหวชัดเจนในทิศทางหนึ่ง เพื่อใช้ประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของราคาอย่างรวดเร็ว
- Scalping: การทำกำไรจากการซื้อขายอย่างรวดเร็ว โดยที่จะทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงราคาเพียงเล็กน้อย และจะเน้นจำนวนในการทำการซื้อขายหลายๆ ครั้งตลอดทั้งวัน
- Technical Trading: การเทรดโดยการใช้ข้อมูลทางเทคนิคในอดีต เช่น แผนภูมิและรูปแบบกราฟต่างๆ เพื่อช่วยในการวิเคราะห์และคาดการณ์เทรนด์ของตลาด
- Fundamental Trading: การเทรดที่จะใช้การวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินและผลประกอบการของบริษัทอย่างละเอียด เพื่อหาโอกาสในการลงทุนระยะยาวที่มั่นคง
- Algorithmic Trading: การเทรดด้วยการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการทำการซื้อขายโดยอัตโนมัติ เพื่อทำกำไรตามเงื่อนไขที่กำหนดเอาไว้ล่วงหน้า
- Arbitrage Trading: การซื้อขายสินทรัพย์จากตลาดซื้อขายที่แตกต่างกัน เพื่อทำกำไรจากส่วนต่างของราคาสินทรัพย์ โดยทั่วไปมักจะเป็นการใช้บอทเทรดเพื่อทำการซื้อขายอย่างรวดเร็ว
แนวทางการเทรดเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ได้รับความนิยมเท่านั้น อย่างไรก็ตาม มันยังมีแนวทางการเทรดต่างๆ อยู่อีกมากมายที่เราอาจจะยังไม่ได้กล่าวถึง ซึ่งอาจจะเป็นกลยุทธ์เฉพาะทาง หรือ กลยุทธ์ที่ไม่ได้ค่อยได้รับความนิยม เป็นต้น
มือใหม่หัดเทรด เลือกเทรดอะไรดี
สำหรับเทรดเดอร์หน้าใหม่ที่ยังไม่แน่ใจว่าจะเทรดอะไรดี นี่คือตราสารทางการเงินประเภทต่างๆ ที่คุณสามารถเลือกเทรดได้:
- เทรด Forex: การเทรด Forex คือ การซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินของประเทศต่างๆ เช่น EUR/USD ปัจจุบัน Forex (Foreign Exchange Market) เป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยกว่า 245 ล้านล้านบาทต่อวัน Forex เป็นตลาดที่เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่กำลังมองหาโอกาสในการซื้อขายระยะสั้นและระยะกลาง ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์จากตลาดที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง / 5 วันต่อสัปดาห์ได้
- เทรดหุ้น: ตลาดหุ้นเป็นหนึ่งในตลาดการเงินที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เป็นที่ที่คุณสามารถลงทุนในหุ้นของบริษัทมหาชนชั้นนำต่างๆ ได้ เช่น CPALL, SCB, GULF, AOT และอื่นๆ อีกมากมาย ตลาดหุ้นจะเหมาะกับนักลงทุนที่ชอบในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัท เพื่อค้นหาบริษัทที่มีผลประกอบการที่ดีที่จะช่วยให้คุณสามารถทำกำไรจากหุ้นของพวกเขาได้
- เทรดสกุลเงินดิจิทัล: การเทรดสกุลเงินดิจิทัล หรือ Cryptocurrency ได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่เป็นอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากเข้าถึงได้ง่าย ไม่ต้องลงทุนมาก แต่อาจจะมีผลตอบแทนที่สูงได้ ตลาดคริปโตน้้นจะเหมาะกับนักลงทุนสายเก็งกำไร หรือ ผู้ที่สามารถยอมรับความเสี่ยงได้ เนื่องจากตลาดคริปโตนั้นมีความผันผวนที่ค่อนข้างสูง ซึ่งอาจจะนำไปสู่ผลกำไรมหาศาล หรือ การขาดทุนมหาศาลได้เช่นกัน
นอกจากนี้ ยังมีตลาดการเงินอื่นๆ ที่เทรดเดอร์สามารถเลือกเทรดได้ เช่น ทองคำ น้ำมัน กองทุนต่างๆ ดัชนี ฯลฯ รวมไปถึง การเทรดในรูปแบบของฟิวเจอร์ส หรือ ออปชั่น และอื่นๆ อีกมากมาย แต่มันอาจจะเป็นตลาดที่ค่อนข้างซับซ้อนและเข้าถึงได้ยากเกินไปสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่
“การเทรด” ทำเงินได้จริงหรือไม่?
การเทรดสามารถทำกำไรได้จริง แต่มันก็มาพร้อมกับความเสี่ยงเช่นเดียวกัน ผลกำไรจากการเทรดนั้นจะขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย ซึ่งรวมไปถึง:
- ความรู้และประสบการณ์: ผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์ในการวิเคราะห์ตลาดมีโอกาสที่จะทำกำไรได้มากกว่าผู้ที่ขาดความรู้ในเรื่องเหล่านี้
- กลยุทธ์หรือระบบการเทรด: การมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนและการยึดตามกลยุทธ์นั้นอย่างเคร่งครัดสามารถช่วยให้เทรดเดอร์ทำกำไรจากการเทรดได้
- การจัดการความเสี่ยง: การตั้งค่าการหยุดขาดทุน (Stop-Loss) และการจำกัดการสูญเสียจะช่วยลดความเสี่ยงและปกป้องเงินทุนของคุณเอาไว้ได้
- สภาพตลาด: สภาพตลาดที่ผันผวนจะทำให้คุณสามารถได้กำไรหรือขาดทุนได้อย่างรวดเร็ว
ดังนั้น “การเทรด” สามารถเป็นสิ่งที่ช่วยทำเงินให้กับคุณได้ แต่อย่างไรก็ตาม คุณจะต้องมีการศึกษาตลาดอย่างละเอียด รวมถึงต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
จะเทรดอย่างไรให้มีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จ
เพื่อที่จะสามารถทำการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จ คุณจะต้องอาศัยการเรียนรู้ การทำความเข้าใจในข้อมูลต่างๆ ความอดทน และความมีวินัย สิ่งที่สำคัญก็คือการศึกษาตลาดและเรียนรู้ในเรื่องการวิเคราะห์ทางเทคนิคและพื้นฐาน จากนั้น ให้สร้าง ระบบเทรด ที่มีความมั่นคง และใช้บัญชีทดลองเพื่อทดสอบกลยุทธ์ของคุณก่อนที่จะทำการลงทุนจริงๆ
จำกัดความเสี่ยงในการสูญเสียเงินทุนของคุณด้วยการกำหนดจำนวนเงินที่คุณจะสามารถยอมตัดขาดทุนไปได้ นอกจากนี้ คุณควรที่จะบันทึกข้อมูลการเทรดของคุณเพื่อนำมาวิเคราะห์ผลลัพธ์ และทำการปรับปรุงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับตลาดการเงินที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ สุดท้าย คุณจะต้องติดตามข่าวสารและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสภาพตลาดในปัจจุบัน เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้อย่างยั่งยืน
เทรดหรือลงทุน แบบไหนดีกว่ากัน?
หากจะให้พูดว่า “การเทรด” หรือ ”การลงทุน” แบบไหนดีกว่ากัน มันก็จะขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางการเงินและความสามารถในการรับความเสี่ยงของแต่ละบุคคล การเทรดมีความเสี่ยงสูงและต้องการการตรวจสอบตลาดการเงินอย่างใกล้ชิด ในขณะที่ การลงทุนจะเน้นในเรื่องการเติบโตในระยะยาว ซึ่งจะมีความเสี่ยงน้อยกว่า และไม่ต้องการการจับตาดูตลาดอย่างละเอียดทุกวัน อย่างไรก็ตาม การลงทุนก็อาจจะไม่ช่วยให้คุณได้รับผลกำไรได้อย่างรวดเร็วเหมือนกับการเทรดที่ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
ข้อจำกัดความรับผิด
ข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่บนเว็บไซต์ของเราเผยแพร่ด้วยเจตนาที่ดีและเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น การกระทำใด ๆ ที่ผู้อ่านดำเนินการตามข้อมูลที่พบบนเว็บไซต์ของเราถือเป็นความเสี่ยงของผู้อ่านโดยเฉพาะ Learn ให้ความสำคัญกับข้อมูลคุณภาพสูง เราอุทิศเวลาให้กับการแยกแยะ ค้นคว้า และสร้างเนื้อหาเพื่อการศึกษาซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน เพื่อเป็นการรักษามาตรฐานนี้และเพื่อสร้างเนื้อหาคุณภาพได้อย่างต่อเนื่อง พาร์ตเนอร์ของเราอาจตอบแทนเราด้วยค่าคอมมิชชั่นสำหรับการจัดวางตำแหน่งต่าง ๆ ในบทความของเรา อย่างไรก็ดี ค่าคอมมิชชั่นนี้ไม่มีผลต่อกระบวนการของเราในการสร้างเนื้อหาที่ไร้อคติ ตรงไปตรงมา และเป็นประโยชน์