หากคุณต้องการรู้เกี่ยวกับเทรนด์ในตลาดคริปโตก่อนใคร ลองใช้ ZigZag Indicator ดูสิ! ถึงแม้ว่าจะมีอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคอื่นๆ ที่ใช้สำหรับการตรวจสอบเทรนด์ เช่น Moving Average Convergence Divergence และ Parabolic SAR อยู่เช่นกัน แต่ ZigZag มีความโดดเด่นในเรื่องแนวทางที่เรียบง่าย ซึ่งจะช่วยให้คุณระบุจุดสูงสุดและต่ำสุดของความเคลื่อนไหวได้อย่างง่ายดาย
ในบทความนี้ เราจะมาสำรวจทุกสิ่งเกี่ยวกับ ZigZag Indicator รวมถึง ความสามารถในการตรวจจับสัญญาณเชิงบวกและเชิงลบที่อาจจะเกิดขึ้น, ประโยชน์ใช้งานในกรอบเวลาต่างๆ และ วิธีการใช้งานที่เหมาะสมที่สุด
รูปแบบ ZigZag ในตลาดคริปโตใช้ทำอะไร?
รูปแบบ ZigZag ในตลาดคริปโตช่วยให้คุณสามารถระบุและแสดงภาพจุดกลับตัวที่ชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้สามารถระบุเทรนด์เชิงบวกและเชิงลบได้อย่างง่ายดาย ที่น่าสังเกตก็คือ รูปแบบนี้ไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ แต่จะปรับเปลี่ยนตามสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง รูปแบบนี้จะแยกความเคลื่อนไหวที่สำคัญสำหรับการระบุเทรนด์และตรวจสอบความเคลื่อนไหวของราคา
ทำความเข้าใจเกี่ยว ZigZag Indicator
ZigZag Indicator (หรือที่อาจจะเรียกกันในชื่อตัวชี้วัด, อินดิเคเตอร์, อินดี้ ZigZag) เป็นข้อมูลการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่สามารถระบุจุดสูงสุดและต่ำสุดของความเคลื่อนไหวของราคาได้อย่างชัดเจนด้วยการใช้เส้นตรง อินดิเคเตอร์นี้สามารถใช้คู่กับ Fibonacci Retracement เพื่อช่วยหาแนวรับและแนวต้านที่สำคัญได้
นี่คือคุณสมบัติพื้นฐานของอินดิเคเตอร์นี้:
- ลดสัญญาณรบกวนในการซื้อขายโดยการเน้นจุดสูงสุดและต่ำสุดที่ชัดเจน
- ระบุการเปลี่ยนแปลงเทรนด์ได้อย่างแม่นยำ
- ความสามารถในการเปลี่ยนการตั้งค่าสำหรับกำหนดจุดกลับตัวที่สำคัญตามกรอบเวลาการซื้อขาย
- ช่วยค้นหาเส้นแนวรับและแนวต้านหลักบนกราฟราคา ช่วยในการระบุเทรนด์
การตั้งค่า ZigZag ที่ดีที่สุดเป็นอย่างไร? จะอ่านข้อมูลเชิงลึกได้อย่างไร?
หากคุณเคยใช้อินดิเคเตอร์ Bollinger Bands มาก่อน คุณจะทราบถึงความสำคัญของการตั้งค่าอินดิเคเตอร์ เราจะมาดูกันว่า สิ่งนี้มีความหมายอย่างไรต่อ ZigZag แล้วการตั้งค่าจะช่วยในการอ่านอินดิเคเตอร์นี้ได้อย่างไร
แนวคิดเกี่ยวกับ Depth, Deviation, และ Backstep
ความลึกของตัวบ่งชี้หมายถึงจำนวนแท่งต่ำสุดระหว่างจุดต่ำสุดและสูงสุดที่อาจเกิดขึ้น
ตามชื่อที่บอกไว้ Depth ที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้เกิดความผันผวนของราคาที่เฉพาะเจาะจงน้อยลง โดยคาดว่าเส้นจะเคลื่อนที่ในทิศทางเดียวนานขึ้น ซึ่งเมื่อเส้นกลับตัว ซึ่งบ่งบอกถึงการกลับตัว(ของเทรนด์) ภาพที่ได้ออกมาก็จะมีความสำคัญมากขึ้น
Deviation หมายถึง เปอร์เซ็นต์ของการเคลื่อนไหวราคาขั้นต่ำที่จำเป็นสำหรับอินดิเคเตอร์ในการเปลี่ยนแปลงทิศทาง หากการเบี่ยงเบนถูกตั้งค่าไว้สูง ความเคลื่อนไหวของราคาเพียงเล็กน้อยก็จะลบล้างออกไป
การตั้งค่า Depth และ Deviation จะกำหนดจำนวนแท่ง(เทียน)ขั้นต่ำที่เกิดขึ้นระหว่างจุดต่ำสุดและสูงสุด ซึ่ง Backstep จะเป็นการนับจำนวนแท่งเทียนเหล่านั้น
การคำนวณอินดิเคเตอร์
ในการคำนวณหรือพล็อตอินดิเคเตอร์ ZigZag คุณจะต้องเลือกจุดเริ่มต้นก่อน เพื่อเป็นตัวอย่างที่สามารถเข้าใจได้ง่าย นี่คือระดับราคา 67232 ดอลลาร์ ตามกราฟราคา Bitcoin ล่าสุด (ที่แสดงไว้ข้างต้น) ตอนนี้ เราจะตั้ง Deviation เป็น 10% จุดต่ำสุดถัดไปจะไม่ถูกนำมาพิจารณา หากราคา Bitcoin ไม่ตกลง 10% จากระดับราคา 67,232 ดอลลาร์
นี่คือเหตุผลที่คุณเห็นเส้นจากจุดเริ่มต้นยังคงดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ สิ่งที่คุณต้องรู้ก็คือ ZigZag เป็น Lagging Indicator (อินดิเคเตอร์ที่จะเกิดผลหลังจากมีข้อมูล) และบันทึกเพียงแค่เทรนด์เท่านั้น มันจะไม่ได้ทำการคาดการณ์ใดๆ นอกจากนี้ การอ่านอินดิเคเตอร์นี้ควรทำร่วมกับรูปแบบกราฟ, การวิเคราะห์แท่งเทียน, ระดับ Fibonacci Retracement, และรูปแบบ Elliot Wave — ซึ่งทั้งหมดนี้ เราจะไปพูดคุยกันในขณะที่สำรวจกลยุทธ์การซื้อขายกัน
รู้หรือไม่ว่า? การสร้างกราฟแท่งเทียน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ถูกพัฒนาขึ้นในญี่ปุ่นในศตวรรษที่ 18 โดยพ่อค้าข้าว Munehisa Homma ซึ่งใช้มันเพื่อตีความอารมณ์ตลาดและความรู้สึกของนักลงทุน เทคนิคนี้ได้รับความนิยมไปทั่วโลกในทศวรรษ 1980 ผ่านผลงานของ Steve Nison
สำหรับการตั้งค่าอินดิเคเตอร์ ZigZag ที่ดีที่สุด คุณสามารถใช้ตารางต่อไปนี้เป็นคู่มือในการลองผิดลองถูก ซึ่งได้รับการปรับให้เหมาะสมสำหรับการ Scalping, Day Trading, Swing Trading, และ การลงทุนระยะยาว:
สไตล์การเทรด | การตั้งค่า ZigZag | อินดิเคเตอร์เสริมที่ดีที่สุด | กรอบเวลาที่แนะนำ |
---|---|---|---|
Scalp Trading | Deviation: 0.5%-1%, Depth: 5-10, Backstep: 3 | Stochastic Oscillator, RSI | 1-นาที ถึง 15-นาที |
Day Trading | Deviation: 2%-5%, Depth: 12-24, Backstep: 3 | MACD, Volume, Moving Averages | 5-นาที ถึง 30-นาที |
Swing Trading | Deviation: 5%-10%, Depth: 24-48, Backstep: 5 | RSI, MACD, Fibonacci Retracement Levels | 1-ชั่วโมง ถึง รายวัน |
Long-Term Trading | Deviation: 10%-15%, Depth: 60-120, Backstep: 8 | Moving Averages (50-วัน, 200-วัน), MACD | รายวัน ถึง รายสัปดาห์ |
วิธีการเทรดโดยใช้ ZigZag Indicator
เมื่อมองแวบแรก อินดิเคเตอร์ ZigZag อาจจะดูไม่มีอะไรมาก มันป็นหนึ่งในอินดิเคเตอร์เทรดคริปโตที่เป็นพื้นฐานที่สุดซึ่งใช้ในการตรวจสอบความเคลื่อนไหวของราคา อย่างไรก็ตาม วิธีที่คุณตั้งค่า Depth และ Deviation จะเป็นตัวกำหนดว่าผลลัพธ์ของการระบุเทรนด์จะมีความแข็งแกร่งเพียงใด
ต่อไปนี้คือกลยุทธ์ในการเทรดคริปโตบางส่วนที่คุณสามารถทำได้โดยการใช้อินดิเคเตอร์ ZigZag ร่วมกับความเคลื่อนไหวของราคา, การวิเคราะห์ฮิสโตแกรม, รูปแบบแท่งเทียน, และ องค์ประกอบอื่นๆ อีกสองสามอย่าง
กลยุทธ์ที่ 1: ระบุการกลับตัวของเทรนด์
แนวคิดนั้นง่ายมาก หลังจากที่คุณใช้อินดิเคเตอร์ ZigZag กับความเคลื่อนไหวของราคา คุณควรที่จะต้องมองหาจุดสูงที่ต่ำลงระหว่างเทรนด์ขาขึ้น และจุดต่ำที่สูงขึ้นระหว่างเทรนด์ขาลง เพื่อระบุการกลับตัวของแนวโน้มที่อาจจะเกิดขึ้น
การตรวจสอบความถูกต้องย้อนหลังของกลยุทธ์นี้เกิดขึ้นในเดือนธันวาคม 2017 เมื่อ BTC มีราคาสูงสุดเกือบ 20,000 ดอลลาร์ จากนั้น ราคาก็ดิ่งไปที่ 6,000 ดอลลาร์ แสดงให้เห็นถึงความผันผวนของตลาดเป็นอย่างมาก การสวิงสูงและการสวิงต่ำครั้งถัดไปจะก่อให้เกิดจุดราคาที่ต่ำลง ซึ่งบ่งบอกถึงเทรนด์ที่อ่อนตัวลง และในเดือนธันวาคม 2018 ราคาของ Bitcoin ลดลงไปที่เกือบๆ 3,000 ดอลลาร์
กลยุทธ์ที่ 2: ใช้หาแนวรับและแนวต้าน
อินดิเคเตอร์ ZigZag ช่วยให้คุณหาระดับแนวรับและแนวต้านในอดีตได้ สังเกตว่าในกรณีของ BTC ระดับต่ำสุดที่เกิดขึ้นในเดือนธันวาคม 2018 ทำหน้าที่เป็นระดับแนวรับที่สำคัญ ซึ่งถูกนำไปใช้ในช่วงขาลงและการปรับฐานอื่นๆ
นอกจากนี้ ราคาได้พุ่งสูงขึ้นในปี 2019 ไปจนถึง 14,000 ดอลลาร์ เมื่อ Bitcoin สามารถผ่านระดับแนวต้านที่สำคัญที่เกิดจากรูปแบบของจุดสูงที่ต่ำลงทั้งหมดในปี 2018
หากคุณเป็นเทรดเดอร์ที่สนใจในการซื้อ อินดิเคเตอร์ ZigZag จะช่วยให้คุณค้นหาระดับสำคัญเหล่านี้ได้ เมื่อคุณมีระดับเหล่านี้แล้ว คุณจะสามารถใช้ประโยชน์จากมันในการตั้งคำสั่ง Stop Loss หรือ Take Profit ได้ ตามที่คุณต้องการ
กลยุทธ์ที่ 3: การใช้กับ Elliot Waves
อินดิเคเตอร์ ZigZag ถือเป็นรากฐานของกลยุทธ์ Elliot Wave หากคุณสังเกตรูปแบบ Elliot Wave อย่างละเอียด เช่น 1-2-3-4-5 คุณจะเห็นว่า Wave (คลื่นของการเคลื่อนไหวของราคา) จะเข้ากันได้ดีกับ ZigZags นอกจากนี้ Corrective Wave หลังจาก Impulse Wave 1-5 — Wave A-B-C — ก็ยังสามารถหาได้จากอินดิเคเตอร์ ZigZag ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการระบุเทรนด์ได้
พูดง่ายๆ ก็คือ ZigZag จะช่วยให้มองเห็น Elliot Waves ได้ดีขึ้น แต่หากต้องการใช้กลยุทธ์นี้ คุณจะต้องเข้าใจเงื่อนไข/แนวทางที่เกี่ยวข้องกับการก่อตัวของ Elliot Waves เสียก่อน:
กฎ
- Wave 2 ไม่สามารถย้อนกลับได้มากกว่า 100% ของ Wave 1
- Wave 3 ไม่สามารถเป็น Wave ที่สั้นที่สุดใน 3 Impulse Wave ได้ (1, 3, 5)
- Wave 4 ไม่ทับซ้อนกับขอบเขตราคาของ Wave 1 ยกเว้นในสามเหลี่ยมแนวทแยง
แนวทาง
- Wave 1: มักจะระบุการก่อตัวของมันได้ยาก เนื่องจากมีลักษณะคล้ายกับการก่อตัวของรูปแบบอื่นๆ
- Wave 2: โดยทั่วไปจะย้อนกลับไป 50% ถึง 61.8% ของ Wave 1; ไม่ควรเกินจุดเริ่มต้นของ Wave 1
- Wave 3: โดยปกติเป็น Wave ที่ยาวและรุนแรงที่สุด และไม่ควรเป็น Wave ที่สั้นที่สุด
- Wave 4: โดยทั่วไปจะย้อนกลับ 38.2% ของ Wave 3; ตื้นกว่า Wave 2 และมักจะซับซ้อนหรือเป็นรูปสามเหลี่ยม
- Wave 5: สามารถยาวเท่ากับ Wave 1 ได้ หรือ ขยายออกไปหากอยู่ใน “ส่วนขยายของ Wave ที่ 5” มักจะแสดงให้เห็นถึงสัญญาณ Divergence ในอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคหากมันกำลังขยายออกไป
รูปแบบ Corrective Wave (A-B-C)
- Wave A: สามารถเป็นรูปแบบการปรับฐานใดๆ ก็ได้ (Zigzag, Flat, หรือ Triangle)
- Wave B: มักจะตื้นและอาจจะประกอบด้วยรูปแบบการปรับฐานใดๆ ก็ได้; โดยทั่วไปจะย้อนรอย Wave A เป็นเปอร์เซ็นต์เล็กน้อย (โดยทั่วไปจะน้อยกว่า 50%)
- Wave C: เคลื่อนที่ในทิศทางเดียวกับ Wave A โดยทั่วไปจะยาวอย่างน้อยเท่ากับ Wave A และมักจะขยายออกไปเป็นการเคลื่อนไหวของ Wave 5
อัตราส่วน Fibonacci ที่พบบ่อยใน Elliott Wave
- Wave 2: โดยทั่วไปจะย้อนกลับ 50% ถึง 61.8% ของ Wave 1
- Wave 3: มักจะขยายออกเป็น 161.8% ของ Wave 1
- Wave 4: โดยทั่วไปจะย้อนกลับ 38.2% ของ Wave 3
- Wave 5: มักจะถึงระยะทางเท่ากับ 61.8% ของความยาวจาก Wave 0 ถึง Wave 3 หรือ 100% ของ Wave 1
สิ่งสำคัญที่ควรทราบก็คือ กฎและแนวทางเหล่านี้ไม่ได้ถูกกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด ภายใต้สภาวะตลาดที่แท้จริง อาจจะมีความยืดหยุ่นสำหรับการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ด้วยทฤษฎี Elliot Wave คุณสามารถใช้การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายเพื่อทำการส่งคำสั่งซื้อได้เช่นกัน
กลยุทธ์ที่ 4: การใช้ Fibonacci Retracement
คุณสามารถรวมความเคลื่อนไหวของ ZigZag กับระดับ Fibonacci เพื่อค้นหาระดับแนวรับและแนวต้านเพิ่มเติมได้ การใช้งานนั้นง่ายมาก — คุณจะต้องระบุจุดสูงและจุดต่ำของความเคลื่อนไหวดังกล่าวเสียก่อน จากนั้น คุณสามารถเชื่อมต่อระดับเหล่านี้โดยใช้ Fib Indicator เพื่อค้นหาระดับแนวรับที่อาจจะเป็นไปได้ เทรดเดอร์สามารถใช้ระดับแนวรับเหล่านี้เพื่อมองหาการ Break Out (การที่ราคาทะลุเส้นแนวต้านขึ้นไป), Break Down (การที่ราคาร่วงลงจากเส้นแนวรับ), Rebound (การเด้งกลับของราคา), และ ระดับในการซื้อที่เหมาะสม
ด้านบนคือกราฟ BTC ที่มีอินดิเคเตอร์ Fibonacci Retracement ซึ่งเชื่อมต่อจุดสูงที่ 72,797 ดอลลาร์ และ จุดต่ำที่ 59,600 ดอลลาร์ จะสังเกตได้ว่า อินดิเคเตอร์ Fibonacci เผยระดับแนวรับที่ 66,838 ดอลลาร์ ที่ 61.8% ของอินดิเคเตอร์ การร่วงผ่านระดับนี้ไป ตามด้วยการเด้งกลับและการร่วงลงไปอีกครั้ง จะยืนยันการเคลื่อนไหวที่เป็นบวกสำหรับ Bitcoin
แต่ถ้าความเคลื่อนไหวของราคาไม่สามารถข้ามผ่านไปได้ ก็ทำให้โอกาสในการซื้อที่เป็นไปได้หายไป
กลยุทธ์ที่ 5: การใช้รูปแบบกราฟ
หลักๆ แล้ว อินดิเคเตอร์ ZigZag นั้นเป็นเส้นตรง ดังนั้น คุณสามารถใช้มันเพื่อระบุรูปแบบกราฟแบบคลาสสิกได้ เช่น รูปแบบ Double Tops, Head and Shoulders, Triangles และอื่นๆ อีกมากมาย ด้านล่างนี้เป็นกราฟที่แสดงรูปแบบ Double Top ที่ใกล้เคียงกับระดับ 72,000 ดอลลาร์ ทั้ง 2 ครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ตลาดกระทิง BTC ยังขาดความแข็งแกร่ง ซึ่งนำไปสู่การปรับฐานราคาครั้งใหญ่
กลยุทธ์ที่ 6: การเทรดแบบ Divergence
ZigZag สามารถใช้ร่วมกับ Momentum Indicators และ Oscillators เพื่อช่วยค้นหาสัญญาณ Divergence (สัญญาณของความขัดแย้งระหว่างราคาและอินดิเคเตอร์) ในการเทรดได้ หากคุณเห็นว่าจุดต่ำสุดของอินดิเคเตอร์ หรือจุดสวิงต่ำของ ZigZag ตรงกับจุดสูงสุดของ RSI คุณอาจจะคาดหวังได้ว่า ราคาจะพุ่งขึ้น (และในทางกลับกันเช่นกัน)
สิ่งเดียวกันนี้ยังใช้ได้เมื่อคุณใช้อินดิเคเตอร์อื่นๆ เช่น Gator Oscillator นี่คือสัญญาณหลักที่คุณต้องดูขณะใช้ ZigZag Indicator ร่วมกับ Gator Oscillator ใน TradingView
- สัญญาณซื้อ: จุดต่ำสุดสำคัญที่ระบุโดย ZigZag ซึ่งตรงกับฮิสโตแกรมทั้ง 2 ของ Gator Oscillator ที่เปลี่ยนเป็นเชิงบวก อาจจะเป็นการบ่งบอกว่า เทรนด์ขาขึ้นที่แข็งแกร่งกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ตัวอย่างสั้นๆ นี้แสดงให้เห็นว่า BTC ในเดือนพฤษภาคม 2024 อาจจะก่อตัวเป็นจุดต่ำ และกระแสอาจจะเปลี่ยนไปเป็นขาขึ้นได้ โดยอาจจะเริ่มขึ้นในเร็วๆ นี้
- สัญญาณขาย: จุดสูงสุดสำคัญที่ระบุโดย ZigZag และฮิสโตแกรมทั้ง 2 ของ Gator Oscillator เปลี่ยนเป็นลบ อาจบ่งบอกถึงเทรนด์ขาลงที่แข็งแกร่งที่กำลังจะเริ่มขึ้น
นอกเหนือจากกลยุทธ์ที่กล่าวมาแล้ว คุณสามารถมองหาารก่อตัวของแท่งเทียนที่สำคัญที่จุดสวิงสูงสุดและต่ำสุดเพื่อค้นหาการกลับตัวที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ด้านบนคือตัวอย่างของรูปแบบแท่งเทียน “Bullish Harami” ที่ตรงกับจุดต่ำสำหรับ BTC ที่เกือบ 65,000 ดอลลาร์ จากนั้น ราคาก็ขยับขึ้นไปเกือบ 73,000 ดอลลาร์ภายในการซื้อขายไม่กี่เซสชั่น
อย่างไรก็ตาม นอกจากอินดิเคเตอร์เหล่านี้แล้ว คุณยังจะต้องพึ่งพาปัจจัยพื้นฐานของโปรเจกต์ด้วย
“ปัจจัยพื้นฐานที่ผมกำลังพูดถึงก็คือการวัดอุปสงค์/อุปทานในเชิงปริมาณ สิ่งใดก็ตามที่ไม่ใช่ TA ในกราฟราคา
สิ่งนี้อาจจะอยู่ในกรอบเวลาสั้นๆ
รวมถึง
– การประมูล Order Book
– ความต้องการฟิวเจอร์สผ่านการระดมทุน
– กระแสเงินไหลเข้ากระดานเทรด
– Open Interest
– ความเปลี่ยนแปลงของสภาพคล่องในเครือข่าย”
Willy Woo, นักวิเคราะห์ Bitcoin และผู้ร่วมก่อตั้ง CMCC Crest: X
อินดิเคเตอร์ ZigZag แม่นยำหรือไม่?
อินดิเคเตอร์ ZigZag เป็นหนึ่งในอินดิเคเตอร์ที่เชื่อถือได้มากที่สุด มันช่วยแก้ไขความผันผวนของราคาเล็กๆ น้อยๆ เพื่อแสดงให้เห็นถึงจุดสูงสุดและต่ำสุดได้อย่างแม่นยำ ทำให้มันเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังต่อความผันผวนของตลาดคริปโต นอกจากนี้ มันยังทำงานได้ดีกับอินดิเคเตอร์และเครื่องมือวิเคราะห์กราฟอื่นๆ ในหลายๆ กรอบเวลา ทำให้มันเป็นหนึ่งในเครื่องมือช่วยเทรดที่มีความยืดหยุ่นมากที่สุด โดยรวมแล้ว ZigZag มีความแม่นยำสูงและให้สัญญาณที่เชื่อถือได้ และเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับเทรดเดอร์ในตลาดสินทรัพย์แบบกระจายอำนาจนี้
คำถามที่พบบ่อย
เราจะเทรดด้วยอินดิเคเตอร์ ZigZag ได้อย่างไร?
อัลกอริธึมการเทรด ZigZag คืออะไร?
การตั้งค่าอินดิเคเตอร์ ZigZag ที่ดีที่สุดเป็นอย่างไร?
อินดิเคเตอร์ไหนดีที่สุดสำหรับการเทรดออปชั่น?
อินดิเคเตอร์ไหนมีความแม่นยำมากที่สุด?
ข้อจำกัดความรับผิด
ข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่บนเว็บไซต์ของเราเผยแพร่ด้วยเจตนาที่ดีและเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น การกระทำใด ๆ ที่ผู้อ่านดำเนินการตามข้อมูลที่พบบนเว็บไซต์ของเราถือเป็นความเสี่ยงของผู้อ่านโดยเฉพาะ Learn ให้ความสำคัญกับข้อมูลคุณภาพสูง เราอุทิศเวลาให้กับการแยกแยะ ค้นคว้า และสร้างเนื้อหาเพื่อการศึกษาซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน เพื่อเป็นการรักษามาตรฐานนี้และเพื่อสร้างเนื้อหาคุณภาพได้อย่างต่อเนื่อง พาร์ตเนอร์ของเราอาจตอบแทนเราด้วยค่าคอมมิชชั่นสำหรับการจัดวางตำแหน่งต่าง ๆ ในบทความของเรา อย่างไรก็ดี ค่าคอมมิชชั่นนี้ไม่มีผลต่อกระบวนการของเราในการสร้างเนื้อหาที่ไร้อคติ ตรงไปตรงมา และเป็นประโยชน์