Staking Crypto คือ รูปแบบการลงทุนคริปโตระยะยาวรูปแบบหนึ่ง แทนที่คุณจะถือและเก็บไว้เฉยๆ คุณสามารถสร้างรายรับหรือ Passive Income เพิ่มเติมได้ หากคุณเป็นนักลงทุนระยะยาวที่ต้องการให้เงินทำงาน การ Staking คริปโต อาจเป็นการลงทุนรูปแบบหนึ่งที่ตอบโจทย์ของคุณ
การ Staking คริปโต ริเริ่มมาจากระบบ Proof-of-Stake (PoS) ซึ่งเป็นเทรนด์ที่โปรโตคอลบล็อกเชนเริ่มนิยมพัฒนาและนำมาใช้มากขึ้นนับตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา
PoS ช่วยแก้ปัญหาเรื่องการสิ้นเปลืองพลังงานจากการขุดในระบบ Proof-of-Work (PoW) อย่าง Bitcoin ที่ต้องมีต้นทุนทางอุปกรณ์ พลังงาน และ การรักษาบำรุง นอกจากนี้มันยังทำให้นักลงทุนเข้าถึงตัวผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างรายได้ได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
การ Staking ในโลกคริปโต
การ Staking เป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนฉันทามติ (Consensus Layer) ของระบบ PoS ที่จำเป็นต่อการตรวจสอบธุรกรรมหรือความถูกต้องของโหนด (Node) และถูกต่อยอดมาเป็นระบบ Delegated Proof-of-Stake (DPoS) ในบล็อกเชน นักลงทุนเพียงต้องนำเหรียญของแต่ละโปรโตคอลนั้นๆ มาล็อกไว้บนบล็อกเชน และเหรียญเหล่านั้นจะทำหน้าที่ พิสูจน์ธุรกรรมเสริมความปลอดภัยให้แก่เครือข่าย
ยิ่งมีจำนวนผู้ที่หลากหลายนำเหรียญมาล็อกไว้มากเท่าไหร่ เครือข่ายก็จะมีความปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น เปรียบเสมือนวิธีการในการกระจายอำนาจแบบหนึ่ง ในทางกลับกันนักลงทุนที่นำเหรียญของตัวเองมาล็อกเอาไว้จะได้ “ผลตอบแทน” จากการพิสูจน์ธุรกรรมตามสัดส่วนที่พวกเขาถือครอง
การนำเหรียญมาล็อกบนเครือข่าย ปัจจุบันมีวิธีที่ช่วยอำนาจความสะดวกให้แก่นักลงทุนมากขึ้น โดยที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องนำเหรียญของตนเองไปล็อกเอาไว้โดยตรงที่เครือข่าย แต่จะมีผู้ให้บริการ Stake Provider หรือ Staking-as-a-Service อย่าง Binance หรือ Lido สำหรับการ Stake ETH ที่จะดำเนินการขั้นตอนต่างๆ แทน ซึ่งตัวกลางนี้จะรับฝากเหรียญจากนักลงทุนหลายๆ รายมารวมไว้เป็นก้อนหนึ่งและนำไปล็อกไว้ให้แทน
วิธีการ Staking Crypto
จริงๆ แล้วหากคุณมี Crypto Wallet เป็นของตัวเอง กระบวนการการ Staking คริปโต ไม่ใช่เรื่องยากและใช้เวลาไม่นานนัก
- ซื้อเหรียญที่ต้องการลงทุน
เริ่มแรกคุณเพียงต้องซื้อเหรียญพื้นฐานของโปรโตคอล (Native Token) ของโปรโตคอลประเภท PoS มาก่อน ยกตัวอย่างเช่น เหรียญ SHIB ของ Shiba Inu และนำมาเก็บไว้ในกระเป๋าส่วนตัวอย่าง Metamask หรือ Crypto Wallet อื่นๆ - ผูก Crypto Wallet กับ บล็อกเชน
หลังจากถือเหรียญไว้ในกระเป๋าส่วนตัวแล้ว คุณเพียงต้องผูกกระเป๋าคุณกับสัญญาอัจฉริยะ (Smart contract) กับโปรโตคอลของเหรียญนั้นๆ โดยทั่วไปสามารถเชื่อมต่อได้ผ่านหน้าเว็ปไซต์หลักของเหรียญนั้นๆ ได้เลย - เลือก Node Validator และล๊อกเหรียญ
เมื่อผูกกระเป๋าแล้ว ให้ค้นหาฟีเจอร์บนหน้าเว็ปไซต์ของโปรโตคอลนั้นๆ ซึ่งในบางครั้งคุณอาจโอนเหรียญเข้าไปฝากไว้ได้โดยตรงกับบนบล็อกเชนเลย หรือในบางครั้งคุณอาจต้องเลือก Node Validator ที่เป็นผู้เปิดโหนด กรณีนี้คุณต้องศึกษาเพิ่มเติมว่าโหนดนั้น ออนไลน์ตลอดเวลาไหม มีค่าธรรมเนียมหักเปอร์เซ็นเพิ่มเติมไหม - รอรับส่วนแบ่งค่าธรรมเนียม
เมื่อเลือก Validator ได้แล้ว สัญญาอัจฉริยะจะขออนุญาตให้คุณโอนเหรียญเข้าไปล็อกไว้ หลังจากนั้นคุณเพียงรอรับส่วนแบ่งจากค่าธรรมเนียมการพิสูจน์ธุรกรรมได้เลย เมื่อมีคนทำธุรกรรมบนบล็อกเชน ค่าธรรมเนียมส่วนหนึ่งจะถูกแบ่งมายังคุณในฐานะที่เป็นผู้ร่วมตรวจสอบบัญชี ในการถอนออกบางโปรโตคอลจะกำหนดระยะเวลาการฝากขั้นต่ำไว้เช่น 30 วัน จึงจะสามารถถอนออกได้ และใช้เวลาดำเนินการถอน 7 วัน ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละบล็อกเชน ดังนั้นคุณควรศึกษาความเสี่ยงก่อนซึ่งเราจะอธิบายในบทความนี้เช่นกัน
ประโยชน์การจาก Staking
การ Staking คริปโต มีประโยชน์ในหลายๆ แง่มุม สำหรับโปรโตคอลระบบ D/PoS ทำให้มีค่าธรรมเนียมที่ต่ำ และประหยัดพลังงานทำให้ นักลงทุนสามารถเข้าถึงและมีส่วนร่วมในการพิสูจน์บัญชีได้ง่ายขึ้น ทำให้มีการกระจายอำนาจที่มากขึ้นตาม และยังทำให้บล็อกเชน Scaling หรือรับจำนวนธุรกรรมได้มากขึ้นอีกด้วย
Staking คุ้มค่าจริงหรือไม่
แทนที่นักลงทุนจะเป็นเพียง HODLer ที่ถือครองเหรียญนั้นไว้เฉยๆ Tokenomic ระบบ D/PoS ทำให้เงินของพวกเขาสร้างรายได้เพิ่มเติมได้ แทนที่จะถือครองเอาไว้เฉยๆ และยังได้เป็นส่วนหนึ่งในการเสริมความแข็งแกร่งให้แก่โปรโตคอลที่พวกเขาไว้วางใจ
ก่อนการลงทุนบุคคลเหล่าย่อมมีแนวโน้มที่จะศึกษารายละเอียดและวิเคราะห์สินทรัพย์ที่พวกเขาจะลงทุนมาอย่างดีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา White Paper หรือ Tokenomic เพื่อลงทุนในระยะยาว ดังนั้นมันจึงคุ้มค่าหากโปรโตคอลเหล่านั้นแข็งแกร่งพอ คุณจะได้รับ Passive Income คล้ายกับการถือหุ้นเพื่อเอาปันผล
ความเสี่ยงของการ Staking Crypto
การลงทุนทุกประเภทย่อมมีความเสี่ยงและการ Stake คริปโตก็มีเช่นกัน
- ความปลอดภัย และภัยคุกคามทางไซเบอร์ (Cybersecurity)
การล็อกเหรียญของคุณไว้ที่บล็อกเชน นั้นหมายความว่า หากบล็อกเชนนั้นหละหลวมหรือมีช่องโหว่ เหล่าแฮคเกอร์อาจโจมตีและขโมยเงินทั้งหมดนั้นออกไป นั่นหมายความว่า คุณจะสูญเสียเงินต้นทั้งหมด เพราะเม็ดเงินที่ถูกล๊อกไว้มักมีมูลค่าสูงทำให้ตกเป็นเป้าโจมตีของแฮคเกอร์ นอกจากนี้ยังต้องระวังกลุ่มมิจฉาชีพที่อาจสร้างโปรเจคปลอมๆ มาหลอกลวงและ rug pull - ราคาของสินทรัพย์ และสภาพคล่อง
ราคาสินทรัพย์คริปโตเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า มีความผันผวนสูง ในขณะที่คุณนำเหรียญไปล็อกไว้และไม่สามารถถอนออกมาได้ ราคาสินทรัพย์อาจต่ำลงหรือบางครั้งอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น
คุณจะไม่สามารถถอนเงินของคุณออกมาได้ทันหรือ ใช้เทคนิคการ cut loss ใดๆ ได้เลย การลงทุนลักษณะนี้จึงมีสภาพคล่องที่ต่ำ และนักลงทุนควรศึกษาปัจจัยนี้ให้ดีพร้อมวางแผนความเสี่ยงไว้ตั้งแต่ก่อนนำไปล็อกไว้ ดังนั้นมันจึงไม่เหมาะแก่ผู้ที่ต้องการลงทุนระยะสั้น - รายรับไม่คงที่
รายรับจากการล็อกเหรียญอาจไม่คงที่ ขึ้นอยู่กับความแออัดบนบล็อกเชน และจำนวนส่วนแบ่งบนบล็อกเชน ณ ขณะนั้น นั่นหมายความว่าตัวเลข APR หรือ APY อาจแกว่งได้ตลอดเวลา
วันที่คุณเริ่มล็อกเหรียญ คุณอาจได้ APR 10% แต่อาทิตย์ต่อมาอาจเหลือแค่ 3% หรืออาจเพิ่มขึ้นเป็น 15% ก็ได้ ดังนั้นในบางครั้งคุณอาจจะประเมินกำไรได้ยากขึ้นและไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่หวังไว้
สิ่งที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจ Staking คริปโต
ก่อนจะนำเหรียญของคุณไปล็อกไว้บนบล็อกเชน คุณต้องพิจารณาก่อนว่า ผลิตภัณฑ์การลงทุนนี้เหมาะสมกับคุณหรือไม่
- ลงทุนระยะยาว หรือ ระยะสั้น
หากคุณเทรดตามข่าวหรือกระแส เพื่อเก็งกำไรในระยะสั้นๆ การนำเหรียญไป Stake ไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสม และไม่ควรทำ ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น หากคุณซื้อเหรียญหนึ่งมา เพราะคาดว่าอาทิตย์หน้าจะมีการเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ ในหนึ่งอาทิตย์นั้นสินทรัพย์อาจเติบโต 5-10% ภายในวันเดียวเลยก็ได้ แต่การ APY จากการ Stake Crypto อาจอยู่ที่ 3% แต่คุณต้องถือ 365 วัน
แต่หากคุณเป็นนักลงทุนระยะยาวหรือ HODLer ที่วางแผนมาอย่างดี คุณอาจเริ่มเข้าเก็บสะสมเหรียญนั้นๆ ในช่วงตลาดหมี โดยมีกลยุทธ์วางแผนเข้าซื้อมาอย่างดี และคุณแค่ต้องการรอให้ตลาดกลายเป็นขาขึ้น ซึ่งอาจใช้ระยะเวลานานหลายเดือนหรือเป็นปี คุณนำส่วนที่สะสมนั้นมา Stake และสร้างรายรับเพิ่มแทนที่จะถือไว้เฉยๆ ผลิตภัณฑ์นี้จะตอบโจทย์คุณได้เป็นอย่างดี - วางแผนการลงทุน
การ Stake เป็นการออมหวังผลระยะยาว คุณต้องเลือกโปรโตคอลที่มีความแข็งแกร่ง เพื่อลดความเสี่ยงให้ได้มากที่สุด โปรโตคอลที่คุณควรลงทุน ต้องมีความปลอดภัยสูง มีการกระจายอำนาจสูง มีผู้คนใช้งานจริงและมีโอกาสเติบโตขยายฐานผู้ใช้งานในระยะยาว
นอกจากนี้คือ การจัดสรรการลงทุนของคุณเองว่า คุณสามารถเสี่ยงการสูญเสียเงินต้นทั้งหมดได้ไหมและจำนวนเท่าไหร่ในกรณีที่คุณพลาด เงินส่วนนี้ไม่ควรเป็นเงินร้อนและไม่ควรเป็นเงินที่คุณจะต้องนำมาใช้ - ความผันผวน และ Market Cap
ความผันผวนของสินทรัพย์ มักสะท้อนถึง Market cap ของเหรียญนั้นๆ ยิ่งเหรียญเล็กควรผันผวนยิ่งสูง ราคายิ่งผันผวน คุณควรเข้าใจในธรรมชาติของโทเค็นที่คุณจะลงทุนในระยะยาว โดยทั่วไปเหรียญที่ความผันผวนต่ำมักเป็นเหรียญ Top5 แต่คุณก็จะได้ APY ที่น้อยกว่าเหรียญขนาดเล็กที่ความเสี่ยงสูงกว่า เพราะมีจำนวนคนที่จะต้องได้รับรางวัลจากบล็อกเชนน้อยกว่า
สรุปประเด็นสำคัญ
การลงทุน Staking Crypto เป็นหนึ่งในระบบ DeFi ควรเป็นการลงทุนระยะยาว และวางแผนการจัดสรรเงินทุนกับความเสี่ยงมาอย่างดีว่าคุ้มค่าหรือไม่ นั่นหมายความว่า คุณควรศึกษารายละเอียดของโปรโตคอลนั้นๆ ไม่ว่าจะผ่าน Tokenomics, Whitepaper, APY และ APR หรือ แม้แต่โค้ดบน Blockchain ว่ามีช่องโหว่หรือไม่ รวมถึงอนาคตในระยะยาวว่าโปรโตคอลนั้นๆ จะเติบโตหรือไม่ ผลิตภัณฑ์นี้เป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะทำให้การถือคริปโตระยะยาวสามารถทำกำไรได้เพิ่มเติม แทนที่จะถือครองไว้เฉยๆ
ข้อจำกัดความรับผิด
ข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่บนเว็บไซต์ของเราเผยแพร่ด้วยเจตนาที่ดีและเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น การกระทำใด ๆ ที่ผู้อ่านดำเนินการตามข้อมูลที่พบบนเว็บไซต์ของเราถือเป็นความเสี่ยงของผู้อ่านโดยเฉพาะ Learn ให้ความสำคัญกับข้อมูลคุณภาพสูง เราอุทิศเวลาให้กับการแยกแยะ ค้นคว้า และสร้างเนื้อหาเพื่อการศึกษาซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน เพื่อเป็นการรักษามาตรฐานนี้และเพื่อสร้างเนื้อหาคุณภาพได้อย่างต่อเนื่อง พาร์ตเนอร์ของเราอาจตอบแทนเราด้วยค่าคอมมิชชั่นสำหรับการจัดวางตำแหน่งต่าง ๆ ในบทความของเรา อย่างไรก็ดี ค่าคอมมิชชั่นนี้ไม่มีผลต่อกระบวนการของเราในการสร้างเนื้อหาที่ไร้อคติ ตรงไปตรงมา และเป็นประโยชน์